Friday, July 22, 2016

[YK] [02] 夏の夢




ฉันอยากเป็นนักเบสบอล




นั่นคือความฝันของฉันตั้งแต่ฉันจำความได้.. ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาหลังจากที่ได้เห็นพี่ชายอยู่ในสนามของโรงเรียน พี่ชายในชุดนักกีฬาขยับปีกหมวกให้เข้าที่แล้วบิดตัวยกแขนเอนไปข้างหลัง ก่อนจะขว้างลูกบอลสีขาวในมือกระแทกถุงมือฝ่ายตรงข้ามจนดังลั่น


พริบตานั้นเสียงรอบข้างที่เงียบสนิทราวกับทุกคนต่างหยุดหายใจเพื่อรอลุ้นในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกู่ร้องดังก้องด้วยความยินดี ชื่อของพี่ถูกตะโกนขึ้นพร้อมกับเพื่อนในทีมที่วิ่งเข้าไปกอดพี่ชาย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นช่างเป็นประกายไม่ต่างกับแสงแดดยามสายที่ส่องประกายอยู่บนฟากฟ้า


ภาพนั้นทำให้หัวใจของฉันกระตุก มันพองโตราวกับลูกโป่งที่ถูกอัดลมร้อนเข้าไปจนแน่นเต็ม


ในตอนนั้นฉันตั้งมั่นกับตัวเอง..ว่าฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ผู้ชายคนนี้บนสนามหญ้าสีเขียวน้ำตาลนั้นเป็นอันขาด ฉันจะแข่งกับเขา และฉันจะต้องชนะเขาให้ได้ในซักวัน


ในตอนนั้นตัวของฉันได้ตั้งมั่นไว้อย่างนั้น



และเพราะอย่างนั้น..ฉันถึงได้ฝึกซ้อม และฝึกซ้อม แม้จะตั้งตารางให้ตัวเองหนักแค่ไหน แต่ฉันก็สนุกไปกับมัน ยิ่งได้พบคนที่คอเดียวกันอย่างนัตสึแล้วด้วย ชีวิตช่วงประถมของฉันกับการเล่นซอร์ฟบอลเลยเต็มไปด้วยสีสัน

มันเป็นช่วงเวลาที่อาจจะสนุกและมีความสุขมากที่สุดในชีวิตของฉันเลยก็เป็นได้



แต่เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนดอกไม้ที่ทอประกายอยู่บนฟ้าในค่ำคืนฤดูร้อน... มันเบ่งบานเพียงวูบหนึ่ง...

ก่อนจะสลายไป..



เหมือนกับความฝันของนัตสึที่ครั้งหนึ่งก็เคยเต็มไปด้วยพลังเช่นเดียวกับของฉัน เหมือนกับคำอธิฐานที่ถูกเขียนใส่ลงบนกระดาษสี...เหมือนกับนกกระสา และซานตาครอส... เมื่อโตขึ้นมาฉันถึงได้รู้ และคิดว่านัตสึเองก็เช่นกัน


ว่าสิ่งที่วาดฝันไว้...มันจะไม่มีวันเป็นความจริง


ฉัน...ในช่วงนั้น ก็เคยเชื่อว่าถ้าหากพยายาม ไม่ว่าอะไรเราก็จะได้มา หากตั้งความหวังไว้อย่างเต็มที่แล้วทุ่มเททั้งแรงกายและใจไปกับมัน ซักวันเราก็จะได้ผลลัพท์ตามที่เราปรารถนา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ มันคือความเข้าใจไปเองของเด็กโง่คนนึง


ที่ครั้งหนึ่งเคยใสซื่อ..และโง่เขลา



เหมือนฉันที่เคยเชื่อเรื่องซานตาครอสในช่วงอนุบาล ฉันที่นั่งมองท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างมีความหวัง ก่อนที่พี่ชายจะบอกกับฉันในตอนนั้นว่ามันไม่มีจริง พี่ล็อคหน้าต่างและปิดผ้าม่าน ยกยิ้มให้ความโง่เง่าของฉัน พี่ดีดหน้าผากและบอกกับฉันว่า.. 'ต่อให้เป็นเด็กดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่มีจริงก็ไม่มีวันมาหาหรอก' และพี่ก็ยิ้มให้เหมือนกับไม่เกิดอะไรขึ้น

ไฟในห้องถูกปิดลง...พร้อมความฝันเล็กๆของฉันที่ดับสลายไปในชั่วข้ามคืน



มันเจ็บ...แต่ไม่มากเท่าในวันที่กำลังจะมาถึง

มันทรมาน...แต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่กำลังจะพบเจอ



เพียงแต่ฉันไม่เคยคิดว่าความพยายามของฉันจะถูกดับลงด้วยการถือกำเนิดของชีวิตน้อยๆของเด็กสองคนที่ลืมตาดูโลก..


มิอินะ กับ โคโตเนะ..


น้องสาวที่น่ารัก น้องสาวที่แสนดี


น้องสาว...

ที่ทำให้พี่ชายที่อยู่ม.4 วางมือจากความฝัน พี่ถอดหมวกและถุงมือ ขยำความฝันทั้งชีวิตของพี่แล้วโยนมันลงกล่องกระดาษ ปิดทับด้วยเทปกาวหลายชั้นก่อนจะยัดมันไปด้านในสุดของตู้เสื้อผ้าด้วยรอยยิ้ม


"เพราะมันคือหน้าที่ของลูกชายคนโต" พี่ชายมักพูดแบบนั้น


พี่ลาออกจากชมรม และเริ่มหางานพิเศษเล็กๆน้อยๆที่ร้านสะดวกซื้อทั้งกะเย็นและดึก หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีพี่ก็ลาออกจากโรงเรียน หันไปทำงานเป็นพนักงานยกของ และออกจากเมืองไปหลังจากฉันจบชั้นประถมปีที่หก

ในช่วงเวลานั้นฉันเริ่มรับรู้ความจริง..



บ้านของฉันไม่ได้ร่ำรวยอะไร มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด และการเลี้ยงดูเด็กที่เพิ่งเกิดก็ใช้เงินเยอะมากเกินกว่าที่ฉันในตอนนั้นจะคิดได้ และแม่เองก็ต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านนานพอดู ถึงแม้พี่จะบอกว่าไม่เป็นไร หัวเราะและทำตัวบ้าๆบอๆเหมือนเดิม แต่ฉันก็รู้ดี...ว่าทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป

มันอาจจะดูเหมือนช้า แต่มันกลับเร็วเกินกว่าที่ฉันคิดไว้ ปีนั้นฉันรู้สึกได้ถึงฤดูร้อนที่จบลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา



และฉันก็รู้ดี

ว่าถึงจะมีน้องฝาแฝดเกิดขึ้นมา แต่แม่ก็ยังใช้เงินเป็นเทน้ำ แม่หมดเงินไปกับเครื่องสำอางและเสื้อผ้าไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านั้น แม่เอาเงินเดือนจากการทำงานไปเข้าร้านปาจิงโกะ และดื่มเหล้าจนเมาสลบอยู่ที่ร้านแทบทุกคืน เดือนร้อนฉันกับพี่ต้องไปแบกแม่กลับมาบ้านทุกครั้ง

แม่ไม่ใช่แม่บ้านตัวอย่าง และไม่เหมือนแม่ของบ้านอื่นๆ... แม่ไม่ค่อยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยเล่านิทานก่อนนอน แม่ไม่เคยมารับหรือส่งไปเรียนหนังสือ และไม่เคยสนใจการบ้านหรือคะแนนสอบของลูกชาย.. มันก็ใช่ ที่แม่ไม่เคยต่อว่าหรือตบตีอะไร


แม่ก็แค่...ใช้เงิน และใช้เงิน


รายจ่ายส่วนมากที่มาจากพ่อและพี่นั้นยังเท่าเดิม ในตอนแรกก็พอเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ถ้าเทียบกับการที่มีสมาชิกเพิ่มมาอีกสอง..มันไม่ใช่ และการมีน้องเพิ่มมาก็ไม่ได้ช่วยให้แม่มีสำนึกอะไรเลย แม้แต่งานเยี่ยมชมโรงเรียนหรืองานพบผู้ปกครอง แม่ก็ไม่เคยโผล่มาซักครั้งตั้งแต่ฉันจำความได้..ส่วนพ่อที่ทำงานที่อื่นนั้นฉันก็จะละมันไป

ถึงปากของแม่จะบอกว่าอยากจะมีลูกให้มากกว่านี้ ให้เท่าทีมฟุตบอลอย่างที่เคยพูดไว้กับพ่อ แต่พอถามว่าใครจะเลี้ยง แม่ก็มักจะยิ้มแล้วชี้นิ้วมาทางฉันกับพี่ แม่บอกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของแม่คือมอบและรับความรักให้พ่อ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้นต่างหาก


แต่ฉันก็รู้แล้วละว่าแม่ต้องพูดแบบนี้


แม่เป็นแบบนี้เสมอ...ไม่เคยเปลี่ยน



และตอนที่พี่เริ่มพูดเรื่องที่จะออกจากบ้าน มันก็ทำให้ฉันตัดสินใจได้

ปีสุดท้ายที่พี่จะอยู่ที่บ้าน คือปีสุดท้ายที่ฉันจะได้เข้าชมรม..เป็นปีสุดท้ายของชั้นประถมศึกษาปีที่หกของฉัน เป็นปีสุดท้ายที่ฉันจะได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับสิ่งที่ตนรัก...ให้กับความฝันของฉัน

ฉันฝึกซ้อมหนักขึ้น และหนักขึ้น.. ใช้เวลาทั้งก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียนขลุกอยู่ในสนามชมรม ฉันหวดไม้จนมือกร้านและแข็ง และวิ่งจนไม่มีแรงจะวิ่งต่อไปไหน...

ฉันท้อ..ท้อมากเมื่อรู้ว่าความฝันทั้งชีวิตมันจะจบลงในปีนี้ แต่เพราะแบบนั้นมันเลยกลายเป็นแรงผลักดันให้ฉันมีความพยายามมากขึ้น และสนใจตัวเองน้อยลง


เรื่องนี้ไม่มีใครรู้แม้แต่นัตสึ...


ไม่มีใครรู้ว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของฉัน


ไม่มีใครรู้....ว่าฉันจะทิ้งความฝันของตัวเองลงได้ง่ายดายขนาดนั้น...



....


ฉัน...ไม่ได้ร้องไห้....ในตอนที่ก้มหัวขอโทษนัตสึในสิ่งที่ได้เคยสาบานเอาไว้ ว่าซักวันฉันจะพานัตสึไปให้ถึงโคชิเอ็ง


ฉันไม่ได้ร้องไห้...ในตอนที่พี่ออกจากบ้าน ไปต่างเมือง และทิ้งฉันให้ดูแลแม่กับน้องอยู่ที่เมืองนี้


....


ฉันไม่ได้ร้อง...แม้ว่าจะจบชั้นประถม แม้ว่าจะต้องลาจากเพื่อนบางคน




ฉัน...




...ไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว...




ในเมื่อน้ำตาของฉันมันแห้งเหือดไปตั้งแต่ในวันที่ความฝันของฉันนั้นได้จบลง





...










เหมือนกับดอกไม้ไฟที่ครั้งหนึ่งเคยบานสะพรั่งประดับฟ้า และดับสลายไปในชั่วค่ำคืน














(ขอขอบคุณภาพจาก @Tatsuya_yk )









----------------------------------------------------------------------

โซนผปค. <3

- 夏の夢 (Natsu no Yume) แปลว่า ความฝันในฤดูร้อน (มันเขียนแบบนี้สินะ?)
- เท่าที่ไปหาข้อมูลมา ดูเหมือนว่าเด็กประถมญี่ปุ่นจะเล่นซอร์ฟบอลไม่ใช่เบสบอลน่ะครับ  แต่จากกีฬาแล้วมันก็คือเบสบอลนั่นแหละ แค่เปลี่ยนมาใช่ลูกบอลที่นิ่มกว่า แต่มันไม่ไดเรียกว่าเบสบอล (นี่คือจากข้อมูลที่ไปหามาได้ จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ #...)
- "นัตสึ" ในเรื่องคือ "จิกะจัง" นั่นเองงงง โคคุงรู้จักจิกะตั้งแต่ประถมแต่คนละห้อง แต่มาสนิทกันตอนป.2เพราะอยู่ชมรมเดียวกันแล้วก็เป็นคอเบสบอล
- รู้สึกเหมือนควรจะเขียนอะไรต่อแต่นึกไม่ออกแล้ว
- เอาเป็นว่าเท่านี้แล้วกัน...
- ขอบคุณที่อ่านนะครับ


Saturday, July 16, 2016

[YK] [01] Telephone Call



**หมายเหตุ: 1.ไร้สาระ 2.ไม่มีเหตุผล 3.มันดูยาวแต่จริงๆไม่ยาวหรอก 4.ไร้สาระมากๆ**

--------------------------------------------------------------------------------------------


"นี่พี่ ในห้องมีคนตายอีกแล้ว"

[งั้นเหรอ งั้นก็คงจะเป็นเรื่องอาถรรพ์ละมั้ง]

"พี่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆน่ะเหรอ?"

[โบราณบอกว่า 'ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่' นะรู้ไหม แล้วเรื่องเล่าว่าห้อง3-3 ของแกมันอาถรรพ์แค่ไหนแกก็น่าจะรู้ดี]

"งั้นเหรอ..."

[แกพูดเหมือนไม่เชื่อ?]

"ก็ไม่เชื่อ..."

[ทั้งที่มีคนในห้องตายมาหลายคนแล้วน่ะนะ?]

"5คน" เขาสวนขึ้นมา "กับญาติของอาจารย์อีกสอง และครอบครัวเพื่อนคนนึงที่ตายเกือบยกบ้าน"
"และต่อให้ฉันต้องตาย ฉันก็ไม่คิดว่าจะทำใจเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติได้ ฉันอาจจะกังขา แต่ฉันก็...มันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากอยู่ดีที่จะคิดอย่างนั้น"

[ก็แค่ไม่อยากที่จะยอมรับในเรื่องที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ?]

"เรื่องของฉันนา.."

[แกนี่มัน... เอ้อ เออ เอาเถอะ แล้วที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างละ? พวกเพื่อนคงขวัญเสียกันหมดแล้วสิ ฉันได้ยินเรื่องข่าวแล้วนะ ตายไปอีกสองคนแล้วใช่ไหม? แบบนี้คนอื่นคงเครียดกันกว่าเดิมแน่ๆ]

"งั้นมั้ง.. ไม่รู้สิ"

[ไม่รู้เหรอ?]

"....ก็ฉันไม่ได้สนิทด้วยนี่" แว่บหนึ่งเขาคิดถึงภาพของหญิงสาวผมสั้นที่คอยหัวเราะคิกคัก ดวงตาที่หรี่ลงเป็นรอยยิ้มนั้นเป็นประกายยามเอ่ยคำเย้าแหย่

ผู้หญิงคนนั้นที่มักจะนั่งอยู่ข้างสนามเวลาที่คนเกือบทั้งห้องลงไปเรียนพละ...คนที่ชอบให้เขาถือเอกสารและการบ้าน คนที่...จากไป

[ถึงจะไม่สนิทด้วยแต่ก็น่าจะมองเรื่องรอบตัวซะบ้างนะ คนในห้องน่ะสำคัญ เพื่อนเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญนะรู้ไหม]

"ฉันสนใจแค่สิ่งที่ต้องสนใจ" ฉันสวนกลับ "หน้าที่ของฉันคือการดูแลแม่กับน้อง..แทนพ่อกับพี่ ฉันต้องไปสมัครหางานพิเศษ แล้วก็พยายามไม่ให้แม่เอาเงินไปใช้ แค่นี้ก็มากพออยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปคบเพื่อนมากมายกั--"

[มิซึสึกิ โคฮาคุ]

"..." ฉันชะงัก น้ำเสียงขี้เล่นของพี่แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังมันทำให้ฉันหยุด "ครับ?"

[ชีวิตก็คือชีวิต การที่ใครซักคนตาย ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนเสียใจ.. นายอยู่ในห้องกับพวกเขามาเกือบปี ไม่รู้อะไรเลยจริงๆน่ะเหรอ? แบบนั้นน่ะ...น่าสงสารคนที่จากไปออกนะ]

"..." คำถามนั่นทำให้ฉันเผลอคิด ฉันเงียบไปนาน นานแสนนานก่อนจะตอบออกไปได้แค่ถ้อยคำสั้นๆ

"...ไม่รู้สิ..."

"..."

"นี่...พี่.."

[หืม?]

"...ฉัน....ไม่รู้ว่าทำไม ..แต่ฉัน...."

มันว่างเปล่า.. ฉันรู้ดี การเห็นข่าวของเพื่อนที่ตายในช่วงเช้ามันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับฉัน มันแค่ 'ตกใจ' แต่ฉันก็ยังสามารถทานข้าวต่อไปได้... มัน..ทำให้รู้สึกว่าแปลก..

[...]

"ทำไม...ฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยละ?"

"ทั้งที่คนที่ตายไปคือคนที่นั่งข้างฉันสองคน.. ฉัน...ก็ไม่รู้สึกอะไร"

[...]

[นายถูกประกบด้วยแจกันดอกไม้คนตายเหรอ? อย่าลืมเอาดอกไม้ไปเปลี่ยนให้พวกเขาละ]

พี่เปลี่ยนอารมณ์ไวจนฉันตามไม่ทัน นั่นทำให้ฉันขมวดคิ้ว "หนึ่งในนั้นคืออาริสะ" ฉันสวน "โนชิโระ อาริสะ.. 'อลิซ' คนนั้น"

คำพูดของฉันทำให้พี่ชายเงียบหายไปพักหนึ่ง แต่พักหนึ่งของพี่นั้นฉันกลับรู้สึกว่ายาวนานมากกว่าปกติ

[งั้นเหรอ.....]

ในที่สุดพี่ก็พูดตอบ แม้ว่าเสียงพึมพำนั้นจะแผ่วเบาเหมือนพูดกับตัวเองอยู่ก็ตาม

[ไปเยี่ยมหลุมศพมาแล้วใช่ไหม?]

"อือ.."

[แล้วรู้สึกเสียใจบ้างรึเปล่า?]

"ก็..รู้สึก" ฉัน..รู้สึก แต่มันเป็นความรู้สึกที่บางเบา ฉันแค่รู้สึกแย่ที่ไม่ได้ขอโทษเธอให้ดี รู้สึกแย่ที่เห็นคุณป้ายังทำใจไม่ได้ "แต่มัน....ฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่..."

"ฉันไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ทรมาน..."

....ไม่เหมือนกับคนอื่นในห้อง....

ฉันอาจจะเหงา อาจจะ...มีความรู้สึกเสียใจบ้าง แต่พอเทียบกับคนอื่น...ฉันกลับยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลย...

คนอื่นร้องไห้ ทรมาน พวกเขาหวาดกลัวต่อคำสาป..พวกเขาดิ้นรน และบางคน...บางคน..เหมือนกับระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง และบางคน...ก็พังทลายลงไปแล้ว

"ฉันไม่ได้กลัวคำสาปหรืออาถรรพ์ ฉัน......อาจจะเสียใจ ฉันคิดว่าคงร้องไห้ถ้าคนในบ้านตายขึ้นมาจริงๆเหมือนกับที่คนอื่นเป็น แต่...." ฉันพยายามเรียบเรียงคำพูด มันลำบากที่ต้องพยายามเชื่อ...ฉันเชื่อมันไม่ลง ทำให้เชื่อไม่ได้ ทั้งที่คนในห้องตายไปทีละคนสองคน...ตายไป หายไป...

แต่ฉันก็ยัง...รู้สึกว่า..

"มันเหมือนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อยู่ไกล..ทั้งที่...ถ้าคำสาปเป็นจริง พี่ พ่อ แม่ กับยัยสองคนนั้นก็อาจจะตาย แต่ฉัน...!"

[ 'มิสึกิ' สินะชื่อคนที่ตายไป?]

"ใช่.. พี่ก็รู้เรื่องนี่"

ฉันได้ยินเสียงอะไรซักอย่างจากทางฝั่งของพี่ เสียงเหมือนนิ้วที่กำลังเคาะอยู่บนโต๊ะไม้ แต่เสียงของมันกลับฟังดูไกลแสนไกล

[บางทีนะ... เพราะว่า 'มิสึกิ' คือคนที่สำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะอย่างนั้นเวลาที่ตายถึงไม่มีใครทำใจได้ พวกเขาก็เลย 'สร้าง' 'มิสึกิ' ขึ้นมา]

"พี่กำลังจะพูดอะไร?"

[เป็นสมมุติฐานของฉันเอง ใช้แก้คำสาปไม่ได้หรอก มันแว่บมาพอดี.. แค่อยากจะเล่าน่ะ]

"....โอเค" ฉันกระแทกเสียง เวลาเครียดทีไรคุยกับพี่ไม่เคยได้ผลเลยซักครั้ง..ให้ตายเถอะ นึกอยากจะเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยนเอาดื้อๆทุกที

[เคยได้ยินไหม ว่าถ้าคนเรามีจิตอธิฐานอะไรมากๆ พลังงานในส่วนนั้นก็จะเริ่มรวมตัวกัน? เหมือนว่าถ้าเราสาปแช่งใครซักคนมากๆ พลังงานด้านลบก็จะเริ่มรวมตัว และอาจจะทำให้เป้าหมายบาดเจ็บได้จริงๆ.. กรณีนี้อาจจะต่างออกไป เพราะพวกเขาพยายามทำให้ 'มิสึกิ' มีตัวตน บางทีพวกเขาอาจจะเผลอไปเปิดประตูต้องห้ามด้วยตัวเองก็ได้นะ ประตูโลกวิญญาณน่ะ]

"พี่ไปดื่มมาใช่ไหม?" ฉัน..สัมผัสได้...

[หุบปาก]

[..แล้วฟังพี่ชายต่อนะ (*゚▽゚)ノノ☆  ]

"ค...ครับ..."

[แต่เพราะ 'มิสึกิ' ตายไปแล้ว 'ถ้า' วิญญาณนั้นหลุดเข้ามาในโลกนี้ได้จริงๆ แล้ว 'ติด' อยู่ในโลกนี้ละ?]

"มันก็ฟังดูไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ต้องมีคนตายเลยไม่ใช่เหรอ?" พอพูดแบบนั้น พี่ชายก็หัวเราะ

[ก็ใช่]

พี่ยอมรับง่ายๆ แล้วเล่าต่อไป...กำลังติดลมอยู่จริงๆด้วย

[แต่ว่า 'ถ้า' คนที่ตาย 'อยากจะ' กลับมา 'มีชีวิต' ละ? และ 'ถ้า' 'มิสึกิ' ไม่สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ได้ถ้าไม่ได้รับ 'พลังงาน' เพิ่มละ? 'ถ้า' ทุกคนตาย..เพราะว่าวิญญาณนั้นได้ดูดเอา 'ชีวิต' ไปละ?]

ฉันคิดตามที่พี่พูด "พี่หมายถึง.. บางที 'มิสึกิ' อาจจะไม่ได้อยากจะฆ่าใคร แต่เพราะว่าวิญญาณของมิสึกิยังอยู่ที่ห้อง3-3 เลยเป็นการดึงเอาโชคร้ายเข้ามาน่ะเหรอ?"

[ไม่รู้สิ มันก็แค่สมมุติฐานของฉัน]

"มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยพี่รู้ใช่ไหม" เป็นการเพ้อที่ไร้ประโยชน์ชะมัด..

[รู้ แต่ฉันอยากจะพูด]

"ยังไงก็เถอะนะ...ถ้าพี่พูดมา คนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดคือพวกรุ่นก่อนที่ไม่รู้แก่ตายกันไปแล้วรึยัง ประตูโลกวิญญาณก็เปิดตั้งแต่ตอนนั้น มิสึกิไปไหนไม่ได้เลยดูดชีวิตชาวบ้านให้ตัวเองยังมีชีวิต และอาจจะอยากมีชีวิต? แบบนี้มันไม่เรียกว่าไม่ตั้งใจแล้ว" ฉันจิกกัด

"เพื่ออะไร? เหงา? อาฆาต? บ้าไปแล้ว?"

คำตอบของพี่มีแค่เสียงหัวเราะ

[ถ้าทำได้ก็ไม่มีใครที่อยากที่จะตายหรอกนะโคฮาคุ]

[ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็อยากที่จะมีชีวิตกันทุกคนนั่นแหละ]

[ทั้งคนที่อยู่ และคนที่จากไป]

[ฉันรู้ว่าห้องของนายกำลังเจอกับความเครียดและกดดัน คำสาปนี้เป็นจริงไหมไม่มีใครรู้ แต่ฉันฟันธงได้เลยว่าถ้าคนในห้องตายไปขนาดนั้นยังไงซะทุกคนก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว และถ้าเรื่องที่นายเล่าเรื่องขุดดินวันก่อนให้ฟังเป็นความจริง ก็แสดงว่าทุกคนกำลังพยายามหาทางแก้คำสาปอย่างแข็งขันเลยละ]

พี่พูดถูก ฉันสัมผัสได้.. ไม่มีใครที่อยากตาย พวกเขาพยายามดิ้นรนกันอยู่ทุกวิถีทาง

[เออ ก่อนจะวางสาย...]

นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปจริงๆ

"อะไรเหรอ?"

[ระวังตัวให้ดีละ]

"อือ เข้าใจแล้ว" ฉันตอบรับส่งๆไป แต่พี่ชายทำเสียงนิ่งตอบกลับมา มันทำให้ฉันเผลอรู้สึกจริงจังตามไปด้วย

[คนที่สิ้นหวังจะมีความเชื่อที่แรงกล้ากว่าคนทั่วไป คนพวกนี้น่ะอันตราย ถ้าเห็นใครที่เชื่อเรื่องพวกนี้หนักๆก็อย่าไปเข้าใกล้นักละ นี่ถือเป็นคำเตือนจากพี่นะ]

ฉันหลับตาลง "ครับ..."

[แต่ก็นั่นแหละ!]

[อย่าตายเพราะอาถรรพ์ละ ฮะๆๆๆๆ ☆ヽ(゚∀゚)ノ☆ !!!]

-ปิ๊บ-


"...."

ฉันก้มมองสายที่ถูกตัดไปแล้วอยากจะปามือถือทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าคงหาซื้อใหม่ไม่ได้เพราะไม่มีเงินพอจะมาเสียกับอะไรแบบนี้ฉันคงจะปามันอัดกำแพงไปแล้ว



"....ไอ้พี่บ้าเอ๊ย!!!!"












---------------------------------------------------------------

Talk...

- พยายามจะเครียดแล้ว....ตอนแต่ง พยายามแล้ว จน....สำนึกได้ว่าไม่ควรเอาเคย์จัง(พี่ชายโคฮาคุ)ใส่ลงมาด้วย เพราะมันเป็นตัวคิล!! /ปิดหน้าร้องไห้หนักมาก
- พี่ชายเคยเป็นอดีตนร.ที่นี่ละ แต่คนละห้อง ปัจจุบันลาออกไปทำงานซักแห่ง
- คนอื่นเขาอัพกันดราม่ามากมาย นี่เรามาเขียนสิ่งนี้ขึ้นมาทำไมกัน
- /ปิดหน้า