ฉันอยากเป็นนักเบสบอล
นั่นคือความฝันของฉันตั้งแต่ฉันจำความได้.. ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาหลังจากที่ได้เห็นพี่ชายอยู่ในสนามของโรงเรียน พี่ชายในชุดนักกีฬาขยับปีกหมวกให้เข้าที่แล้วบิดตัวยกแขนเอนไปข้างหลัง ก่อนจะขว้างลูกบอลสีขาวในมือกระแทกถุงมือฝ่ายตรงข้ามจนดังลั่น
พริบตานั้นเสียงรอบข้างที่เงียบสนิทราวกับทุกคนต่างหยุดหายใจเพื่อรอลุ้นในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกู่ร้องดังก้องด้วยความยินดี ชื่อของพี่ถูกตะโกนขึ้นพร้อมกับเพื่อนในทีมที่วิ่งเข้าไปกอดพี่ชาย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นช่างเป็นประกายไม่ต่างกับแสงแดดยามสายที่ส่องประกายอยู่บนฟากฟ้า
ภาพนั้นทำให้หัวใจของฉันกระตุก มันพองโตราวกับลูกโป่งที่ถูกอัดลมร้อนเข้าไปจนแน่นเต็ม
ในตอนนั้นฉันตั้งมั่นกับตัวเอง..ว่าฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ผู้ชายคนนี้บนสนามหญ้าสีเขียวน้ำตาลนั้นเป็นอันขาด ฉันจะแข่งกับเขา และฉันจะต้องชนะเขาให้ได้ในซักวัน
ในตอนนั้นตัวของฉันได้ตั้งมั่นไว้อย่างนั้น
และเพราะอย่างนั้น..ฉันถึงได้ฝึกซ้อม และฝึกซ้อม แม้จะตั้งตารางให้ตัวเองหนักแค่ไหน แต่ฉันก็สนุกไปกับมัน ยิ่งได้พบคนที่คอเดียวกันอย่างนัตสึแล้วด้วย ชีวิตช่วงประถมของฉันกับการเล่นซอร์ฟบอลเลยเต็มไปด้วยสีสัน
มันเป็นช่วงเวลาที่อาจจะสนุกและมีความสุขมากที่สุดในชีวิตของฉันเลยก็เป็นได้
แต่เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนดอกไม้ที่ทอประกายอยู่บนฟ้าในค่ำคืนฤดูร้อน... มันเบ่งบานเพียงวูบหนึ่ง...
ก่อนจะสลายไป..
เหมือนกับความฝันของนัตสึที่ครั้งหนึ่งก็เคยเต็มไปด้วยพลังเช่นเดียวกับของฉัน เหมือนกับคำอธิฐานที่ถูกเขียนใส่ลงบนกระดาษสี...เหมือนกับนกกระสา และซานตาครอส... เมื่อโตขึ้นมาฉันถึงได้รู้ และคิดว่านัตสึเองก็เช่นกัน
ว่าสิ่งที่วาดฝันไว้...มันจะไม่มีวันเป็นความจริง
ฉัน...ในช่วงนั้น ก็เคยเชื่อว่าถ้าหากพยายาม ไม่ว่าอะไรเราก็จะได้มา หากตั้งความหวังไว้อย่างเต็มที่แล้วทุ่มเททั้งแรงกายและใจไปกับมัน ซักวันเราก็จะได้ผลลัพท์ตามที่เราปรารถนา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ มันคือความเข้าใจไปเองของเด็กโง่คนนึง
ที่ครั้งหนึ่งเคยใสซื่อ..และโง่เขลา
เหมือนฉันที่เคยเชื่อเรื่องซานตาครอสในช่วงอนุบาล ฉันที่นั่งมองท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างมีความหวัง ก่อนที่พี่ชายจะบอกกับฉันในตอนนั้นว่ามันไม่มีจริง พี่ล็อคหน้าต่างและปิดผ้าม่าน ยกยิ้มให้ความโง่เง่าของฉัน พี่ดีดหน้าผากและบอกกับฉันว่า.. 'ต่อให้เป็นเด็กดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่มีจริงก็ไม่มีวันมาหาหรอก' และพี่ก็ยิ้มให้เหมือนกับไม่เกิดอะไรขึ้น
ไฟในห้องถูกปิดลง...พร้อมความฝันเล็กๆของฉันที่ดับสลายไปในชั่วข้ามคืน
มันเจ็บ...แต่ไม่มากเท่าในวันที่กำลังจะมาถึง
มันทรมาน...แต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่กำลังจะพบเจอ
เพียงแต่ฉันไม่เคยคิดว่าความพยายามของฉันจะถูกดับลงด้วยการถือกำเนิดของชีวิตน้อยๆของเด็กสองคนที่ลืมตาดูโลก..
มิอินะ กับ โคโตเนะ..
น้องสาวที่น่ารัก น้องสาวที่แสนดี
น้องสาว...
ที่ทำให้พี่ชายที่อยู่ม.4 วางมือจากความฝัน พี่ถอดหมวกและถุงมือ ขยำความฝันทั้งชีวิตของพี่แล้วโยนมันลงกล่องกระดาษ ปิดทับด้วยเทปกาวหลายชั้นก่อนจะยัดมันไปด้านในสุดของตู้เสื้อผ้าด้วยรอยยิ้ม
"เพราะมันคือหน้าที่ของลูกชายคนโต" พี่ชายมักพูดแบบนั้น
พี่ลาออกจากชมรม และเริ่มหางานพิเศษเล็กๆน้อยๆที่ร้านสะดวกซื้อทั้งกะเย็นและดึก หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีพี่ก็ลาออกจากโรงเรียน หันไปทำงานเป็นพนักงานยกของ และออกจากเมืองไปหลังจากฉันจบชั้นประถมปีที่หก
ในช่วงเวลานั้นฉันเริ่มรับรู้ความจริง..
บ้านของฉันไม่ได้ร่ำรวยอะไร มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด และการเลี้ยงดูเด็กที่เพิ่งเกิดก็ใช้เงินเยอะมากเกินกว่าที่ฉันในตอนนั้นจะคิดได้ และแม่เองก็ต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านนานพอดู ถึงแม้พี่จะบอกว่าไม่เป็นไร หัวเราะและทำตัวบ้าๆบอๆเหมือนเดิม แต่ฉันก็รู้ดี...ว่าทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป
มันอาจจะดูเหมือนช้า แต่มันกลับเร็วเกินกว่าที่ฉันคิดไว้ ปีนั้นฉันรู้สึกได้ถึงฤดูร้อนที่จบลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
และฉันก็รู้ดี
ว่าถึงจะมีน้องฝาแฝดเกิดขึ้นมา แต่แม่ก็ยังใช้เงินเป็นเทน้ำ แม่หมดเงินไปกับเครื่องสำอางและเสื้อผ้าไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านั้น แม่เอาเงินเดือนจากการทำงานไปเข้าร้านปาจิงโกะ และดื่มเหล้าจนเมาสลบอยู่ที่ร้านแทบทุกคืน เดือนร้อนฉันกับพี่ต้องไปแบกแม่กลับมาบ้านทุกครั้ง
แม่ไม่ใช่แม่บ้านตัวอย่าง และไม่เหมือนแม่ของบ้านอื่นๆ... แม่ไม่ค่อยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยเล่านิทานก่อนนอน แม่ไม่เคยมารับหรือส่งไปเรียนหนังสือ และไม่เคยสนใจการบ้านหรือคะแนนสอบของลูกชาย.. มันก็ใช่ ที่แม่ไม่เคยต่อว่าหรือตบตีอะไร
แม่ก็แค่...ใช้เงิน และใช้เงิน
รายจ่ายส่วนมากที่มาจากพ่อและพี่นั้นยังเท่าเดิม ในตอนแรกก็พอเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ถ้าเทียบกับการที่มีสมาชิกเพิ่มมาอีกสอง..มันไม่ใช่ และการมีน้องเพิ่มมาก็ไม่ได้ช่วยให้แม่มีสำนึกอะไรเลย แม้แต่งานเยี่ยมชมโรงเรียนหรืองานพบผู้ปกครอง แม่ก็ไม่เคยโผล่มาซักครั้งตั้งแต่ฉันจำความได้..ส่วนพ่อที่ทำงานที่อื่นนั้นฉันก็จะละมันไป
ถึงปากของแม่จะบอกว่าอยากจะมีลูกให้มากกว่านี้ ให้เท่าทีมฟุตบอลอย่างที่เคยพูดไว้กับพ่อ แต่พอถามว่าใครจะเลี้ยง แม่ก็มักจะยิ้มแล้วชี้นิ้วมาทางฉันกับพี่ แม่บอกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของแม่คือมอบและรับความรักให้พ่อ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้นต่างหาก
แต่ฉันก็รู้แล้วละว่าแม่ต้องพูดแบบนี้
แม่เป็นแบบนี้เสมอ...ไม่เคยเปลี่ยน
และตอนที่พี่เริ่มพูดเรื่องที่จะออกจากบ้าน มันก็ทำให้ฉันตัดสินใจได้
ปีสุดท้ายที่พี่จะอยู่ที่บ้าน คือปีสุดท้ายที่ฉันจะได้เข้าชมรม..เป็นปีสุดท้ายของชั้นประถมศึกษาปีที่หกของฉัน เป็นปีสุดท้ายที่ฉันจะได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับสิ่งที่ตนรัก...ให้กับความฝันของฉัน
ฉันฝึกซ้อมหนักขึ้น และหนักขึ้น.. ใช้เวลาทั้งก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียนขลุกอยู่ในสนามชมรม ฉันหวดไม้จนมือกร้านและแข็ง และวิ่งจนไม่มีแรงจะวิ่งต่อไปไหน...
ฉันท้อ..ท้อมากเมื่อรู้ว่าความฝันทั้งชีวิตมันจะจบลงในปีนี้ แต่เพราะแบบนั้นมันเลยกลายเป็นแรงผลักดันให้ฉันมีความพยายามมากขึ้น และสนใจตัวเองน้อยลง
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้แม้แต่นัตสึ...
ไม่มีใครรู้ว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของฉัน
ไม่มีใครรู้....ว่าฉันจะทิ้งความฝันของตัวเองลงได้ง่ายดายขนาดนั้น...
....
ฉัน...ไม่ได้ร้องไห้....ในตอนที่ก้มหัวขอโทษนัตสึในสิ่งที่ได้เคยสาบานเอาไว้ ว่าซักวันฉันจะพานัตสึไปให้ถึงโคชิเอ็ง
ฉันไม่ได้ร้องไห้...ในตอนที่พี่ออกจากบ้าน ไปต่างเมือง และทิ้งฉันให้ดูแลแม่กับน้องอยู่ที่เมืองนี้
....
ฉันไม่ได้ร้อง...แม้ว่าจะจบชั้นประถม แม้ว่าจะต้องลาจากเพื่อนบางคน
ฉัน...
...ไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว...
ในเมื่อน้ำตาของฉันมันแห้งเหือดไปตั้งแต่ในวันที่ความฝันของฉันนั้นได้จบลง
...
เหมือนกับดอกไม้ไฟที่ครั้งหนึ่งเคยบานสะพรั่งประดับฟ้า และดับสลายไปในชั่วค่ำคืน
(ขอขอบคุณภาพจาก @Tatsuya_yk )
----------------------------------------------------------------------
โซนผปค. <3
- 夏の夢 (Natsu no Yume) แปลว่า ความฝันในฤดูร้อน (มันเขียนแบบนี้สินะ?)
- เท่าที่ไปหาข้อมูลมา ดูเหมือนว่าเด็กประถมญี่ปุ่นจะเล่นซอร์ฟบอลไม่ใช่เบสบอลน่ะครับ แต่จากกีฬาแล้วมันก็คือเบสบอลนั่นแหละ แค่เปลี่ยนมาใช่ลูกบอลที่นิ่มกว่า แต่มันไม่ไดเรียกว่าเบสบอล (นี่คือจากข้อมูลที่ไปหามาได้ จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ #...)
- "นัตสึ" ในเรื่องคือ "จิกะจัง" นั่นเองงงง โคคุงรู้จักจิกะตั้งแต่ประถมแต่คนละห้อง แต่มาสนิทกันตอนป.2เพราะอยู่ชมรมเดียวกันแล้วก็เป็นคอเบสบอล
- รู้สึกเหมือนควรจะเขียนอะไรต่อแต่นึกไม่ออกแล้ว
- เอาเป็นว่าเท่านี้แล้วกัน...
- ขอบคุณที่อ่านนะครับ
