"In All My Dreams I Drown"
11.
สีดำ...
สีของกลางคืน
สีของความสงบและความเงียบงัน
สีของน้ำหมึก
สีของการปกป้อง..
สีของความฝัน....และความตาย
12.
ข้าลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงสว่างและเสียงเจือแจ้วของเจ้าตุ๊กตาสีน้ำตาล แร็กกี้กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ วิ่งไล่ผีเสื้อแปลกตาไปรอบๆตัวข้า ดูรื่นเริงเหมือนอยู่ในฝัน...หรือความจริงข้าฝันมาตลอด และนี่ต่างหากคือความจริง พอข้ามองไปรอบตัว ก่อนเจ้าตุ๊กตาจะกระโดดขึ้นมาบนตัวของข้า กอดข้าเอาไว้ แต่ข้าทำเพียงแค่มองดู
นี่คือความฝัน...
โดยไม่ต้องให้ใครบอกข้าก็เข้าใจได้ นี่คือความฝัน มันไม่ใช่ความจริง ถึงแม้ข้าจะอยากให้มันเป็นจริงแค่ไหน แต่สีดำไม่มีทางถูกเปลี่ยนให้เป็นสีขาว สิ่งที่ตายไปไม่มีทางกลับคืนมา
โลกของข้า...เจ้าดับมันไปแล้ว
"ช่างเป็นตุ๊กตาที่โหดร้ายเสียจริง"
ข้ายิ้ม...ให้ตุ๊กตาที่กอดมือข้าไว้ เส้นด้านที่ถูกปักให้เป็นรอยยิ้มนั้นไม่มีวันเปลี่ยน... แร็กกี้จะยิ้มอยู่เสมอ แม้จะตายก็ยังคงยิ้ม ..เพราะข้าทำให้เจ้ายิ้ม ข้ากำหนดให้เจ้ายิ้ม
แล้วสิ่งที่ข้ากำหนดก็กลายเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงตัวข้าเองเสียได้
เจ้าตุ๊กตาที่ไม่มีวันร่ำไห้ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำข้าร้องไห้มากแค่ไหน
'ออริออน'
แต่พอข้าเอื้อมมือไปแตะ เจ้าเศษผ้านั่นก็ลุกเป็นไฟ รำไห้เรียกหาตัวของข้า..ที่ยังคงนิ่งมอง
เพดานของท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีน้ำหมึก มันละลายเยิ้มไหลราวกับเทียนที่ถูกลนด้วยเปลวเพลิง มันกำลังไหลลงมาเหมือนก้อนเนยบนแผ่นเหล็กใต้แสงตะวันยามบ่าย
มันละลาย...กลืนกินไปหมด
ท้องฟ้าสีฟ้า แสงแดดสีทอง ก้อนเมฆสีขาว ทุ่งหญ้าสีเขียว...พวกมันกำลังละรายราวกับขี้ผึ้งที่กำลังถูกลนด้วยไฟ ละลายไหลลงไปกองกับพื้น ผสมสีกันจนกลายเป็นสีดำที่ขุ่นข้น ไหลทะลักกลืนกินสิ่งรอบข้างอย่างเชื่องช้า
เสียงร้องไห้นั้นดังก้องอยู่ในหัว เสียงร้องของผู้คนที่ตามหลอกหลอนนั้นร่ำร้องสาปแช่งและวิงวอนขอชีวิต ดังมาจากรอบข้าง...รอบข้างที่แสงสว่างถูกกลืนหาย
พวกเขาอ้อนวอนต่อเทวดา ต่อพระเจ้า
โดยลืมไปว่าประเทศของคนทรยศนั้นไร้ซึ่งพระเจ้า
โดยลืมไปว่าประเทศของคนที่ถูกทรยศนั้นไม่ตอนรับซึ่งพระเจ้า
แต่พวกเขาก็ยัง อ้อนวอน ร่ำร้อง วิงวอน ภาวนา
ทั้งที่ต่างก็รู้ดีว่าหัวจะหลุดจากบ่า ความตายจะก้าวมาหา แต่คนเหล่านั้นก็ยังพยายามเชื่อมั่นในความหวังที่ไม่มีวันมาถึง
...ซักวันก็ต้องตาย ไม่ว่าใครต่างก็ต้องตาย...
เสียงพวกนั้นดังอยู่ในหัวเหมือนกับว่าผู้ขาดเขลานั้นอยู่ในหัว ในสมอง อยู่ในทุกๆที่รอบตัวของเขา
ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้
เสียงพวกนั้นเหมือนจะทำให้ข้าเป็นบ้า
13.
แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ออริออน ราฟาเล่ นั่งหอบอยู่บนเตียงในห้องนอนของปราการปราชญ์ ดวงตาเขาเบิกกว้าง สะท้อนกับแสงแดดที่ลอดส่องเข้ามาจากนอกผ้าม่านจนส่องประกายวาวเรืองๆเหมือนกำลังเกรี้ยวกราด
แต่เขาไม่ได้โกรธ มันคือความสับสนต่างหาก
เขาหอบ
หายใจไม่ทัน
ความฝันเหมือนวิ่งไล่ตามเขามาเป็นกิโลๆจนหัวใจของเขาเต้นรัวเหมือนกับจังหวะเคาะเท้าของผู้คนที่กำลังร่ายรำอย่างคุ้มคลั่งบนฟลอร์ที่เบี้ยวบิด
เขาอาจจะกำลังบ้าคลั่งไปกับบทเพลงที่ไร้เสียง กำลังเต้นรำจนอ่อนล้าทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ
จิตใจของเขาคงจะกำลังบ้าคลั่งไปกับโน๊ตดนตรีที่ไร้ตัวตัวนั่น...โน๊ตของเพลงที่ไม่เคยมีใครเห็นเหมือนกับเส้นเอ็นที่รัดร่างกายเขาราวกับตุ๊กตาเชิด เป็นหุ่นกระบอกที่ไม่มีทางหนีสายป่านที่เรียกว่าความจริงไปได้
ออริออนหันไปมองเศษผ้าสีน้ำตาลที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ
แต่กับอะไรนั้นเขาไม่อยากจะรับรู้ ไม่อยากจะรู้ และไม่ได้อยากจะยอมรับ
แต่เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร สมดุลย์ของเขากำลังพังทลาย -- มันไม่ได้แหลกสลายเป็นผุยผง แต่มันเหมือนกำแพงที่สร้างขึ้นมาจากทรายผสมน้ำตั้งแต่แรก และตอนนี้มันก็กำลังถูกคลื่และลมทะเลแห่งความโศกเศร้ากัดเซาะอย่างบ้าคลั่ง
การสูญเสียที่แท้จริง....ทำให้รับรู้ว่าสิ่งที่เสียไปนั้นสำคัญมากเพียงใด
กว่าจะรู้มันก็สายเกินไป...
สายเกินไปมากทีเดียว
No comments:
Post a Comment