ซาตาคลอสเป็นเรื่องโกหก และนกกระสาที่คาบเด็กมาก็ไม่เคยมีอยู่จริง
บนดวงจันทร์นั้นไม่มีกระต่าย และตอนกลางคืนก็ไม่มีปีศาจใดที่ใต้เตียง
...นั่นคือสิ่งที่ผมรู้
โลกของเด็กกับผู้ใหญ่นั้นถูกขีดเส้นกั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘จินตนาการ’ มันตัดแบ่งความจริงและความฝันออกจากกัน เพราะอย่างนั้นตัวผมที่ไม่ได้ถูกพี่ชายสอนให้เชื่อ จึงไม่ได้คิดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องจริงมาตั้งแต่ต้น
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวผมในตอนนั้นก็ยังคงเป็นแค่เด็ก เพราะอย่างนั้นตัวผมจึงได้เชื่อมั่นว่าข้างห้องของผมนั้น...มีเจ้าหญิงอาจิไซ(ไฮเดรนเยีย)ถูกกักขังอยู่....
...
บ้านของผมเป็นบ้านที่อยู่ด้านในสุดของชั้นที่สองของห้องแถวเล็กๆ และข้างห้องของผมก็เป็นเพื่อนบ้านที่แทบจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ผมก็รู้ว่าเขาเจ้าอารมณ์ขนาดไหนโดยเฉพาะเวลาเมาที่มักจะส่งเสียงดังโครมครามและขว้างปาข้าวของ เสียงด่าทอ และเสียงทะเลาะกันของชายและหญิง ก่อนจะมีเสียงประตูถูกกระแทกเปิดและปิด พร้อมเสียงร่ำไห้ของใครซักคน
และทุกครั้งที่ผู้ชายข้างห้องจากไปแล้ว ผมจะได้พบกับเจ้าหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอกของห้องนั้นอยู่เสมอ
เจ้าหญิงข้างห้องเป็นเจ้าหญิงที่มีผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง และมีผิวสีขาวที่เต็มไปด้วยแผล เธอมักแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มักจะยิ้มอยู่เสมอ
เจ้าหญิงคนนั้นมีอายุน่าจะเท่ากับผม และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่พวกเราเริ่มต้นพูดคุยกัน
เจ้าหญิงบอกผมว่าเธอชื่อ ชิโรวกะ เป็นชื่อที่เขียนด้วยตัวคันจิของดอกอาจิไซ เพราะอย่างนั้นผมจึงเรียกเธอว่าเจ้าหญิงอาจิไซ ซึ่งเธอก็ดูจะชื่นชอบมันมากทีเดียว และหลังจากที่พวกเราพูดคุยกันมากขึ้น เธอก็แต่งตั้งให้ผมเป็นซามูไรของเธอ
พอย้อนดูแล้วมันก็ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายที่น่าขัน ที่ซามูไรไม่อาจปกป้องเจ้าหญิงของเขาได้ และเจ้าหญิงเองก็ไม่เคยร้องขอให้ซามูไรคนนี้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตัวของเธอ และทั้งที่พวกเราอยู่ไกลกันแค่หนึ่งผนังกั้น แต่พวกเราก็ไม่อาจแม้แต่จะสัมผัสกันได้เลย
ชิโรวกะเป็นผู้หญิงที่ประหลาด เธอต่างจากทุกคนที่ผมรู้จัก ทั้งที่รอบตัวผมมีผู้หญิงมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่เหมือนเธอ ไม่ว่าจะแม่ คุณป้าที่ร้านสะดวกซื้อ หรือเพื่อนที่โรงเรียน ทุกคนต่างมีมุมที่ประหลาด แต่เธอกลับกระโดดออกมาจากส่วนเหล่านั้น
ในสายตาของผมเธอสวยกว่าใคร น่ากลัวกว่าใคร และเธอแตกต่างจากใครๆ แต่อาจจะเพราะว่าเธอคือเจ้าหญิง เธอจึงแตกต่างจากคนปกติธรรมดา
ผมคิดอย่างนั้น...
ทุกวันที่ว่าง ผมมักจะรอเธออยู่ที่ระเบียงห้อง ซึ่งหากวันไหนที่พ่อของเธอ หรือยักษ์ตัวร้ายที่พวกเราต่างเรียกกันไม่อยู่ที่ห้องหรือหลับไปแล้ว เธอก็จะโผล่หน้าออกมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับเธอกำลังสวมใส่หน้ากากของจิ้งจอก พวกเราจะคุยกันจนกว่ายักษ์ตนนั้นจะรู้สึกตัวหรือกลับมา หรือไม่พวกเราก็จะคุยกันจนกว่าใครซักคนจะบอกลาเพื่อไปนอน
วันต่อวันที่พวกเรานั่งคุยกัน หัวเราะด้วยกันในขณะที่นั่งห้อยขาไปกับชานระเบียง พวกเรานั่งแต่งเรื่องราวด้วยกันจนกลายเป็นนิทานที่ไม่รู้จบของเจ้าหญิงดอกไม้แห่งฤดูฝนกับซามูไรสีอำพันจากแร่หิน(โคฮาคุ=อำพัน) ผมทำโทรศัพท์ด้วยกระป๋องเบียร์ของแม่และเส้นด้าย โยนส่งให้เธอเพื่อจะได้กระซิบพูดคุยแลกเปลี่ยนความลับของกันและกัน
เวลาผ่านไป ผ่านไป ผมไม่รู้หรอกว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่วันหนึ่งเธอก็โชว์กระเป๋าสะพายสีแดงดูทรุดโทรมของเด็กประถมให้ผมดู เธอบอกว่าเธอจะมาเรียนที่เดียวกับผม
ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างประหลาด แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเรียนที่ไหนมาก่อนรึเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยที่จะตั้งคำถามเพราะซามูไรนั้นไม่ได้มีหน้าที่ในการตั้งคำถาม แต่มีหน้าที่เพียงแค่ทำตามคำสั่งและปกป้องเจ้าหญิงอย่างเดียวก็เท่านั้น
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งตารอให้ถึงวันเปิดภาคเรียน
วันแรกของการเปิดเรียนนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เห็นแม่ของเธอเช่นกัน แม่ของเธอพ่ายผอมและดูหวาดผวากับทุกสิ่ง แววตาของเธอหมองหม่นเหมือนกับคนที่ไร้ซึ่งศรัทธาและความงดงามของชีวิต ตรงข้ามกับชิโรวกะที่ถึงแม้เธอจะมีผ้าพันแผลและรอยช้ำตามตัวอยู่บ้าง แต่เธอก็ดูมีน้ำมีนวลต่างจากผู้หญิงที่เดินเคียงข้างเธอราวขาวกับดำ
ชิโรวกะบอกแม่ของเธอว่าจะเดินไปกับผม เพราะผมคือซามูไรของเธอในขณะที่แม่ของเธอไม่ได้เป็นอะไรเลยซักอย่าง เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับคำสั่ง และผู้หญิงคนนั้นก็รีบก้าวเท้ากลับไปตามทางที่มาทันที แม้จะมีเหลือบสายตามามองพวกเราบ้างก็ตามที
เรื่องนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัย... บางทีแม่ของเจ้าหญิงก็คงจะไม่ใช่ราชินีเสมอไป แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะแตกต่างจากเจ้าหญิงถึงเพียงนี้...
ระหว่างทางที่เดินไปด้วยกัน เธอยังคงเดินตรงไปข้างหน้าอย่างสง่างาม เคียงข้างผมที่ทำได้เพียงแค่เหลือบสายตามอง
วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต แม้ว่าจะเกร็งไปบ้าง แต่ในตอนนี้เธอก็อยู่ตรงนี้..เคียงข้างผมด้วยระยะห่างที่ไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เกี่ยวนิ้วหรือจับมือกัน แต่แค่ได้มองเธออยู่ตรงนี้ผมก็พอใจ และอายมากเกินพออยู่แล้ว
แต่ก่อนที่จะไปถึงเขตโรงเรียน เธอก็หันมาหาผม ถามผมด้วยรอยยิ้มหวานที่ไม่เคยเปลี่ยน
“ตอนนี้ชิโรวกะออกมาจากกรงขังของยักษ์ได้แล้วนะคะ แล้วโคฮาคุคุงจะยังอยากที่จะเป็นซามูไรของชิโรวกะอยู่รึเปล่าคะ?”
คำถามของเธอนั้นเป็นคำถามที่ผมไม่ลังเลที่จะตอบ เธอหัวเราะคิกคักด้วยน้ำเสียงที่ใสกังวาน เหมือนกับว่าผมกำลังยืนอยู่ในกำมือของเธอ
“แม้ว่าชิโรวกะจะเป็นลูกสาวของยักษ์น่ะเหรอคะ?”
รอยยิ้มแสนหวานที่เหมือนกับสีของดอกอาจิไซ หวานละมุนจนผมปฏิเสธไม่ได้
“แม้ว่าซักวันหนึ่ง ชิโรวกะจะทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไปน่ะเหรอคะ?”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสผม แม้จะแค่บางเบาที่แก้ม แต่ผมก็เห็นว่ามือของเธอไม่ได้นิ่มหรืออุ่น กลับกันแล้วมันกลับเย็นและแห้งกระด้าง
“ถึงตอนนั้น...ก็จะยังให้อภัยเหรอคะ?”
“ใจดีจังเลยนะคะ”
“ที่ใจดีแบบนั้นน่ะ ใจดีกับแค่ชิโรวกะคนเดียวรึเปล่าคะ?”
เธอยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่แสนเศร้า
“โคฮาคุคุงควรจะระวังตัวให้ดีนะคะ เพราะเจ้าหญิงอาจิไซเองก็มีเลือดของยักษ์อยู่ในตัวเหมือนกันนะ”
“แล้วเจอกันนะคะ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เธอจะปล่อยมือจากผมและเดินเข้าไปในโรงเรียน
...
ทั้งที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ดอกซากุระรอบตัวของเจ้าหญิง กลับดูแดงก่ำยิ่งกว่าที่เคย....
[END.]
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk...
หากใครไม่รู้จักสาวคนนี้ นางมาในสตอรี่ของโคคุง อันนี้ นะครับ และตอนนี้นางก็มาเป็นไซด์สตอรี่แบบมีตอนต่อซะด้วย(...) เรื่องนี้ก็จะค่อยๆไปเรื่อยๆละนะครับ จะพยายามเขียนให้จบนะถ้าทำได้/ฮา
ชิโรวกะผู้มีอะไรมากกว่าที่เห็น และทำให้โคฮาคุคุงกลายเป็นผู้ชายอย่างทุกวันนี้(?) จะเป็นอย่างไรก็ไปติดตามดูกันในอนาคตแล้วกันนะครับ
