Saturday, August 27, 2016

[YK] [07] Side story: 紫陽花姫 : 01




(อภินันทนาการรูป โดย @Tatsuya_yk )




ซาตาคลอสเป็นเรื่องโกหก และนกกระสาที่คาบเด็กมาก็ไม่เคยมีอยู่จริง
บนดวงจันทร์นั้นไม่มีกระต่าย และตอนกลางคืนก็ไม่มีปีศาจใดที่ใต้เตียง
...นั่นคือสิ่งที่ผมรู้
โลกของเด็กกับผู้ใหญ่นั้นถูกขีดเส้นกั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘จินตนาการ’ มันตัดแบ่งความจริงและความฝันออกจากกัน เพราะอย่างนั้นตัวผมที่ไม่ได้ถูกพี่ชายสอนให้เชื่อ จึงไม่ได้คิดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องจริงมาตั้งแต่ต้น
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวผมในตอนนั้นก็ยังคงเป็นแค่เด็ก เพราะอย่างนั้นตัวผมจึงได้เชื่อมั่นว่าข้างห้องของผมนั้น...มีเจ้าหญิงอาจิไซ(ไฮเดรนเยีย)ถูกกักขังอยู่....
...
บ้านของผมเป็นบ้านที่อยู่ด้านในสุดของชั้นที่สองของห้องแถวเล็กๆ และข้างห้องของผมก็เป็นเพื่อนบ้านที่แทบจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ผมก็รู้ว่าเขาเจ้าอารมณ์ขนาดไหนโดยเฉพาะเวลาเมาที่มักจะส่งเสียงดังโครมครามและขว้างปาข้าวของ เสียงด่าทอ และเสียงทะเลาะกันของชายและหญิง ก่อนจะมีเสียงประตูถูกกระแทกเปิดและปิด พร้อมเสียงร่ำไห้ของใครซักคน
และทุกครั้งที่ผู้ชายข้างห้องจากไปแล้ว ผมจะได้พบกับเจ้าหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอกของห้องนั้นอยู่เสมอ
เจ้าหญิงข้างห้องเป็นเจ้าหญิงที่มีผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง และมีผิวสีขาวที่เต็มไปด้วยแผล เธอมักแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มักจะยิ้มอยู่เสมอ
เจ้าหญิงคนนั้นมีอายุน่าจะเท่ากับผม และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่พวกเราเริ่มต้นพูดคุยกัน
เจ้าหญิงบอกผมว่าเธอชื่อ ชิโรวกะ เป็นชื่อที่เขียนด้วยตัวคันจิของดอกอาจิไซ เพราะอย่างนั้นผมจึงเรียกเธอว่าเจ้าหญิงอาจิไซ ซึ่งเธอก็ดูจะชื่นชอบมันมากทีเดียว และหลังจากที่พวกเราพูดคุยกันมากขึ้น เธอก็แต่งตั้งให้ผมเป็นซามูไรของเธอ
พอย้อนดูแล้วมันก็ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายที่น่าขัน ที่ซามูไรไม่อาจปกป้องเจ้าหญิงของเขาได้ และเจ้าหญิงเองก็ไม่เคยร้องขอให้ซามูไรคนนี้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตัวของเธอ และทั้งที่พวกเราอยู่ไกลกันแค่หนึ่งผนังกั้น แต่พวกเราก็ไม่อาจแม้แต่จะสัมผัสกันได้เลย
ชิโรวกะเป็นผู้หญิงที่ประหลาด เธอต่างจากทุกคนที่ผมรู้จัก ทั้งที่รอบตัวผมมีผู้หญิงมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่เหมือนเธอ ไม่ว่าจะแม่ คุณป้าที่ร้านสะดวกซื้อ หรือเพื่อนที่โรงเรียน ทุกคนต่างมีมุมที่ประหลาด แต่เธอกลับกระโดดออกมาจากส่วนเหล่านั้น
ในสายตาของผมเธอสวยกว่าใคร น่ากลัวกว่าใคร และเธอแตกต่างจากใครๆ แต่อาจจะเพราะว่าเธอคือเจ้าหญิง เธอจึงแตกต่างจากคนปกติธรรมดา
ผมคิดอย่างนั้น...
ทุกวันที่ว่าง ผมมักจะรอเธออยู่ที่ระเบียงห้อง ซึ่งหากวันไหนที่พ่อของเธอ หรือยักษ์ตัวร้ายที่พวกเราต่างเรียกกันไม่อยู่ที่ห้องหรือหลับไปแล้ว เธอก็จะโผล่หน้าออกมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับเธอกำลังสวมใส่หน้ากากของจิ้งจอก พวกเราจะคุยกันจนกว่ายักษ์ตนนั้นจะรู้สึกตัวหรือกลับมา หรือไม่พวกเราก็จะคุยกันจนกว่าใครซักคนจะบอกลาเพื่อไปนอน
วันต่อวันที่พวกเรานั่งคุยกัน หัวเราะด้วยกันในขณะที่นั่งห้อยขาไปกับชานระเบียง พวกเรานั่งแต่งเรื่องราวด้วยกันจนกลายเป็นนิทานที่ไม่รู้จบของเจ้าหญิงดอกไม้แห่งฤดูฝนกับซามูไรสีอำพันจากแร่หิน(โคฮาคุ=อำพัน) ผมทำโทรศัพท์ด้วยกระป๋องเบียร์ของแม่และเส้นด้าย โยนส่งให้เธอเพื่อจะได้กระซิบพูดคุยแลกเปลี่ยนความลับของกันและกัน
เวลาผ่านไป ผ่านไป ผมไม่รู้หรอกว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่วันหนึ่งเธอก็โชว์กระเป๋าสะพายสีแดงดูทรุดโทรมของเด็กประถมให้ผมดู เธอบอกว่าเธอจะมาเรียนที่เดียวกับผม
ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างประหลาด แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเรียนที่ไหนมาก่อนรึเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยที่จะตั้งคำถามเพราะซามูไรนั้นไม่ได้มีหน้าที่ในการตั้งคำถาม แต่มีหน้าที่เพียงแค่ทำตามคำสั่งและปกป้องเจ้าหญิงอย่างเดียวก็เท่านั้น
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งตารอให้ถึงวันเปิดภาคเรียน
วันแรกของการเปิดเรียนนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เห็นแม่ของเธอเช่นกัน แม่ของเธอพ่ายผอมและดูหวาดผวากับทุกสิ่ง แววตาของเธอหมองหม่นเหมือนกับคนที่ไร้ซึ่งศรัทธาและความงดงามของชีวิต ตรงข้ามกับชิโรวกะที่ถึงแม้เธอจะมีผ้าพันแผลและรอยช้ำตามตัวอยู่บ้าง แต่เธอก็ดูมีน้ำมีนวลต่างจากผู้หญิงที่เดินเคียงข้างเธอราวขาวกับดำ
ชิโรวกะบอกแม่ของเธอว่าจะเดินไปกับผม เพราะผมคือซามูไรของเธอในขณะที่แม่ของเธอไม่ได้เป็นอะไรเลยซักอย่าง เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับคำสั่ง และผู้หญิงคนนั้นก็รีบก้าวเท้ากลับไปตามทางที่มาทันที แม้จะมีเหลือบสายตามามองพวกเราบ้างก็ตามที
เรื่องนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัย... บางทีแม่ของเจ้าหญิงก็คงจะไม่ใช่ราชินีเสมอไป แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะแตกต่างจากเจ้าหญิงถึงเพียงนี้...
ระหว่างทางที่เดินไปด้วยกัน เธอยังคงเดินตรงไปข้างหน้าอย่างสง่างาม เคียงข้างผมที่ทำได้เพียงแค่เหลือบสายตามอง
วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต แม้ว่าจะเกร็งไปบ้าง แต่ในตอนนี้เธอก็อยู่ตรงนี้..เคียงข้างผมด้วยระยะห่างที่ไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เกี่ยวนิ้วหรือจับมือกัน แต่แค่ได้มองเธออยู่ตรงนี้ผมก็พอใจ และอายมากเกินพออยู่แล้ว
แต่ก่อนที่จะไปถึงเขตโรงเรียน เธอก็หันมาหาผม ถามผมด้วยรอยยิ้มหวานที่ไม่เคยเปลี่ยน
“ตอนนี้ชิโรวกะออกมาจากกรงขังของยักษ์ได้แล้วนะคะ แล้วโคฮาคุคุงจะยังอยากที่จะเป็นซามูไรของชิโรวกะอยู่รึเปล่าคะ?”
คำถามของเธอนั้นเป็นคำถามที่ผมไม่ลังเลที่จะตอบ เธอหัวเราะคิกคักด้วยน้ำเสียงที่ใสกังวาน เหมือนกับว่าผมกำลังยืนอยู่ในกำมือของเธอ
“แม้ว่าชิโรวกะจะเป็นลูกสาวของยักษ์น่ะเหรอคะ?”
รอยยิ้มแสนหวานที่เหมือนกับสีของดอกอาจิไซ หวานละมุนจนผมปฏิเสธไม่ได้
“แม้ว่าซักวันหนึ่ง ชิโรวกะจะทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไปน่ะเหรอคะ?”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสผม แม้จะแค่บางเบาที่แก้ม แต่ผมก็เห็นว่ามือของเธอไม่ได้นิ่มหรืออุ่น กลับกันแล้วมันกลับเย็นและแห้งกระด้าง
“ถึงตอนนั้น...ก็จะยังให้อภัยเหรอคะ?”
“ใจดีจังเลยนะคะ”
“ที่ใจดีแบบนั้นน่ะ ใจดีกับแค่ชิโรวกะคนเดียวรึเปล่าคะ?”
เธอยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่แสนเศร้า
“โคฮาคุคุงควรจะระวังตัวให้ดีนะคะ เพราะเจ้าหญิงอาจิไซเองก็มีเลือดของยักษ์อยู่ในตัวเหมือนกันนะ”
“แล้วเจอกันนะคะ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เธอจะปล่อยมือจากผมและเดินเข้าไปในโรงเรียน
...
ทั้งที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ดอกซากุระรอบตัวของเจ้าหญิง กลับดูแดงก่ำยิ่งกว่าที่เคย....

[END.]

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Talk...

หากใครไม่รู้จักสาวคนนี้ นางมาในสตอรี่ของโคคุง อันนี้ นะครับ และตอนนี้นางก็มาเป็นไซด์สตอรี่แบบมีตอนต่อซะด้วย(...) เรื่องนี้ก็จะค่อยๆไปเรื่อยๆละนะครับ จะพยายามเขียนให้จบนะถ้าทำได้/ฮา

ชิโรวกะผู้มีอะไรมากกว่าที่เห็น และทำให้โคฮาคุคุงกลายเป็นผู้ชายอย่างทุกวันนี้(?) จะเป็นอย่างไรก็ไปติดตามดูกันในอนาคตแล้วกันนะครับ

/สรุปเขียนไม่จบ---






Thursday, August 25, 2016

Short: 26/8/59



เวลาฉันแหงนหน้ามองท้องฟ้า ฉันมักคิดเสมอ

ว่าถ้าฉันตายไป..ถ้าฉันหายไป..

จะมีใครบ้างไหมที่คิดถึงฉัน

แต่ฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่งี่เง่า

และท้องฟ้าเองก็ยังสดใส เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ฉันทำก็เพียงแค่ล้มตัวลงบนพื้นหญ้าและเงยมองมัน

สายลมยังคงเย็น และแสงแดดก็ยังคงส่องแสง

"วันนี้เป็นวันที่ดี" ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น

"มันจะเป็นวันที่ดี" เธอตอบฉันมาเช่นกัน

ฉันหัวเราะ และจับมือเธอไว้

"ถ้าเธอพูดแบบนั้นละก็"

ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความฝัน หรือเป็นเรื่องโกหกแค่ไหน ตัวฉันก็จะยังคงเชื่อเสมอ

ขอแค่มีเธอที่อยู่กับฉัน

อยู่ข้างกายกัน

และจับมือฉันไว้....

เพียงแค่นั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายยังไงขึ้น ฉันก็เชื่อว่ามันจะผ่านไป

แต่แล้วเธอก็จากไป..

ด้วยเสียงหัวเราะ ด้วยรอยยิ้ม..

ภายใต้แสงแดดยามเย็นที่เผาไหม้ท้องฟ้าของฉันจนแดงฉาน

เธอจากไปแล้ว โดยไม่กล่าวคำลาใด

เธอจากไปแล้ว ทิ้งฉันไปแล้ว...

...ทิ้งฉันไว้...

...ท่ามกลางกองไฟของเธอ..

และในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ฉัน ที่โอบกอดตัวเองไว้

จับมือตัวเองไว้ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกล่าวคำว่า

"มันจะไม่เป็นอะไร"

ภายใต้ท้องฟ้าสีขี้เถ้าที่เริ่มร่อนหลุด ฉันได้แต่หัวเราะเพียงลำพัง...

...โดยไม่มีแม้แต่เงาของเธอเคียงข้างกายอีกต่อไป...

และในตอนนี้ก็เป็นฉันอีกครั้งที่นอนมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้น

และค้นพบกับคำตอบนั่น

..หากฉันตายไปในซักวัน มันก็คงจะมีใครซักคนที่คิดถึงฉัน..

..ที่จดจำตัวตนของฉันได้..

ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยอยู่ตรงนั้น

เคยร้องเพลงไปกับเธอ

เคยเต้นรำไปกับเธอ

หรือแม้กระทั่งหัวเราะกับเรื่องโง่เง่าที่เธอเล่าให้ฉันฟัง

แต่ว่า.....ฉันเองก็ได้รู้เช่นกัน ว่าสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆนั้นไม่ใช่ให้ใครก็ได้ได้จดจำ

สิ่งที่ฉันต้องการจริงๆแล้วนั้น..

ก็คือการให้เธอคนนั้นยังคงสามารถที่จะจดจำเรื่องราวของฉัน

เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น....

...แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่อาจที่จะเป็นเช่นนั้นได้แล้วก็ตาม...



(End)

Saturday, August 13, 2016

[YK] [06] 無声



หมอนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร...


หนวกหูและเหมือนลิง(ซารุ) นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้พบกัน

ทั้งน่ารำคาญ ทั้งพูดมาก แล้วยัง...มาแย่งพี่ชายไปอีก

และเพราะเป็นคนที่นิสัยใกล้กัน หมอนั่นกับพี่ก็เลยสนิทกันง่ายมาก

เหมือนนาเดชิโกะที่พี่โอ๋นักโอ๋หนา



ไม่พอใจเอาซะเลย



ต่อมาหมอนั่นก็มาตีสนิท แล้วยังมาตั้งชื่อเล่นให้อีก

ทำเหมือนกับว่าจะอยากเป็นเพื่อนด้วย....มัน ก็ใช่

อ่านง่ายขนาดนั้น... เหมือนหมาเลย ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ กระดิกหางดีใจ และอ่านง่ายเป็นที่สุด



พอเริ่มโตขึ้น หมอนั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่

ออกจะเหมือนเดิม...หรือยิ่งกว่าเดิมกันนะ?

ฉันไม่ค่อยสนใจหมอนั่นเท่าไหร่ แต่สิ่งที่การันตีได้คือความน่ารำคาญ...


นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยน



เพราะอย่างนั้นฉันเลยมักหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และพูดคุย...

เพราะนายชอบทำให้ฉันหงุดหงิด


ถึงแม้ว่านายจะหวังดีก็เถอะ แต่ความหวังดีของนายมันทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมในหลายครั้ง


....


นายมีรสนิยมในเรื่องผู้หญิงที่ห่วยแตกมาก... นาเดชิโกะคนนั้นมีดีตรงไหนนอกจากหน้าตา?

ผู้หญิงแบบนั้น..นายหลงชอบไปได้ยังไง

ในสายตาฉันยัยนั่นก็แค่ตัวปัญหา เด็กสปอย และอ่อนกีฬายิ่งกว่าอะไรดี


และไม่น่ารักเลยซักนิด


นายหาคนที่ดีกว่านี้ได้ง่ายกว่านั้นแท้ๆ...

ไม่เข้าใจนายเอาซะเลย



.......



แล้ว..

อยู่ๆนายก็ตาย

ตายง่ายๆเหมือนกับศพอื่นๆที่ผ่านมา

คอนเทนเนอร์หล่นทับ? เอาเถอะ อย่างน้อยนายก็ไม่ต้องทรมานมากละนะ...


......


เหมือนคำสาปเลยนะ พอเล่าเรื่องของ `เธอ` ให้นายฟัง นายก็ไป

.....



นี่ซารุ..


พอไม่มีนายที่น่ารำคาญมาอยู่ตรงนี้...

...



มันก็....เงียบลงชะมัดเลย..









-------------------------------------------------------------------

Talk...
- ถึงนายจะน่ารำคาญ แต่พอไม่มีนายแล้วมันก็...อืม โล่งๆ เงียบๆจริงๆนะ...
- เคย์ต้องเสียใจมากแน่เลย
- นายทำผู้หญิงที่นายชอบเสียใจนะรู้ไหม
- R.I.P ซารุ....

ปล. งานศพนายเราก็ไม่ไปอีกเช่นกัน..



Friday, August 12, 2016

[YK] [05] アジサイのメモリ


*โปรดฟังประกอบ >> จิ้ม
เนื้อเพลง >> จิ้ม


-----------------------------------------------------








ฉันไม่กลัวที่จะตาย...ไม่ได้สนใจ

ฉันแค่กลัวว่าจะต้องเสียบางอย่างที่สำคัญมากไปก็เท่านั้น..


ฉัน...ก็แค่กลัวว่าซักวันจะถูกลืมไป...จากคนที่สำคัญ


เพราะอย่างนั้นตอนที่ฟังเทป ฉันถึงไม่รู้สึกอะไรจนถึงประโยคสุดท้าย

`ยังไงก็ต้องลืมเรื่องของตัวเอง`

มัน...เหมือนกับถูกค้อนทุบหัว



ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้สำคัญกับใคร และไม่มีใครสำคัญกับฉันขนาดนั้นอีกแล้ว

ขนาดที่จะร้องไห้...ขนาดที่จะเซื่องซึม...เมื่ออีกฝ่ายได้หายไป


ขนาดที่...จะคิดถึงในทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า..


และจะเก็บเอาไปไว้ในความฝันของทุกคืน


มัน...ไม่มีอีกต่อไปแล้ว




เอาจริงๆต่อให้ถูกคนในห้องลืมไป ฉันก็คงไม่ได้เดือดร้อนอะไร..ออกจะรู้สึกว่า `ช่างเถอะ` ได้ค่อนข้างง่าย

แต่ว่า...


การถูกหลงลืมนั้นมันก็ยังคงน่าหวาดกลัว จากทั้งคนที่ลืมและคนที่ถูกลืมอยู่ดี

...


ฉัน..ไม่อยากให้ `เขา` กับ `เธอ` ลืมว่าวันหนึ่งฉันเคยมีตัวตนอยู่

ไม่อยากจะให้ `เขา` ต้องเสียใจ หรือลืมเรื่องของฉันไป...

และไม่อยากจะให้ `เธอ` .......




ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสำคัญ ไม่ได้อยากที่จะเป็นหรอก...

ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเด่น..หรือช่างพูดช่างคุยแบบใครๆ

ไม่ใช่คนเด่นดังที่ไหน และไม่ใช่คนที่ใครต่อใครจะนึกถึงเป็นคนแรก


ก็รู้แหละ...ว่าเพราะอะไร



รู้ และตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นด้วย



แต่ถึงอย่างนั้น....


แค่ `เขา` กับ `เธอ` เท่านั้นที่ฉันไม่อยากจะถูกลืม

ไม่อยากจะหายไป......



.......



มันจะสายเกินไปไหมนะ......


.......




“สวัสดี...นี่ฉันเอง”

“อืม...ใช่ เกือบปีแล้วสินะที่ไม่ได้คุยกัน”


“ฉันไม่ได้มาหาเธอเลย ไม่ได้โกรธใช่ไหม?”


“ขอโทษนะที่อยู่ๆก็หายไป พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นเต็มไปหมดน่ะ”


“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เราจะได้พบกันอีกไหม...”


“ฉันยังอยู่ที่เมืองเดิม...อืม ไม่ได้ไปไหนเหมือนเดิม”


“ยังจำกันได้ไหมตอนที่เราเดินเล่นที่แม่น้ำด้วยกัน..”

“ตอนที่พวกเราไปที่ภูเขา กับตอนที่เธอล้มเพราะวิ่งตามฉัน”



“จำช่วงที่พวกเราขึ้นเขาได้ไหม ที่เธอบอกให้ฉันแบกขึ้นไป..”

“จำตอนที่พวกเราหลงทางกันได้รึเปล่า”


“....”

“นี่...คือว่านะ...ฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้เธอฟังเต็มไปหมด”

“อืม”


“เรื่องน่ะมีอยู่ว่า....”

“เพราะอย่างนั้นตอนนี้....”


เขาหัวเราะ...ในรอบหลายเดือน หัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับว่าโลกทั้งใบของเขายังคงอยู่

เขายิ้ม

ให้กับ `เธอ` ที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น

เขายิ้ม...

ก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่าของตัวเอง


“...คิดถึงนะ...”

“.....”


“ฉันคิดถึงเธอมาก”


“....”

“อยากจะเจอ... อยากจะเจอเธออีกซักครั้ง”

“...”



“อยากจะดูพลุด้วยกันในเทศกาลฤดูร้อน”

“อยากจะรอรับผ้าพันคอจากเธอ”

“อยากจะให้เธอลองทานอาหารของฉัน”

“อยากจะพูดคุยกันทุกวัน”



“เอาจริงๆ...ก็แค่อยากจะเห็นรอยยิ้มเธออีกซักครั้ง”



“...”

“นี่ ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

“ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”


มือที่เปรอะไปด้วยดินลากไปตามกล่องโลหะขึ้นสนิมอย่างเบามือ


เขาเปิดกล่องเหล็กแล้วหยิบดอกไม้แห้งในนั้นขึ้นมาหมุนไปมา


“....”


ก่อนจะวางมันกลับลงไป แล้วหยิบปึกจดหมายออกมาจากกล่องเพื่อหยิบเครื่องรางเก่าๆที่สีค่อนข้างซีดขึ้นมามอง

“ขอยืมหน่อยนะ”

“..ถึงมันจะเป็นของที่ฉันเคยให้เธอก็เถอะ”

เก็บจดหมายลงกล่อง แล้วปิดฝาก่อนจะฝังมันกลับลงดิน


“แล้วจะมาใหม่นะ”


`...`



.........




เอาจริงๆแล้ว...


ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ก็เพราะเธอ

เพราะไม่มีใครที่สามารถที่จะจดจำเธอได้อีกแล้ว

เพราะอย่างนั้น...ต่อให้เหลือเพียงแค่ฉัน ฉันก็ยังคงอยากที่จะจดจำเอาเธอไว้


และต่อให้ได้เจอกันแค่ในความฝัน แต่แค่นั้น...ฉันก็ยังอยากจะบอกตัวเองว่าแค่นั้นมันก็มากเกินพอ



เพราะอยากจะจำเธอไว้...จึงเริ่มหวาดกลัว

ถ้าฉันตายไป จะยังจำเธอได้ไหม

`เขา` เองก็จะลืมฉันเหมือนที่ลืม `เธอ` ไปรึเปล่า


...


...นี่...

ถ้าเกิดซักวันนึงเราได้พบกันอีกซักครั้ง

เธอจะยังยิ้มให้ฉันเหมือนเดิมอีกไหม...


เธอจะยังคง...เรียกชื่อของฉัน ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นอีกรึเปล่านะ












-----------------------------------------------------------------

Talk...
- เป็นฟิคแด่คนตาย(...)
- คนในฟิคนั่น...อืม ตายนานแล้ว นานมาก มาก...น่าจะราวๆป.5 แล้วปีต่อมาก็เลิกเบสบอล(...)
- เรียกตามภาษาบ้านๆคือรักครั้งแรก
- สรุปคืออินี่พังมานานแล้วนี่หว่า(...)
- ส่วน `เขา` ในฟิค คือพี่ชาย(เคย์จัง)เอง
- ขอขอบคุณเพลงจากผปค.นาเดจิโกะด้วยนะครับ
- คนตาย..คนตาย คนตายเต็มไปหมดเลย--
- สาวคนนี้เป็นคนใจห้อง(บ้าน)ข้างๆ

- ปกติแล้วจะไม่ค่อยคุยกันต่อหน้ากันนัก แต่เขามีสถานที่ลับของกันและกันอยู่นะ
- ฟิคละมุนๆ(?) อนาคตอาจมีเพิ่ม


Wednesday, August 10, 2016

[YK] [04] 押し下げる


0.

ซาซากิ โคโทริ เป็นเพียงพยาบาลฝึกหัดที่ประจำการในกะดึก หน้าที่ของเธอไม่ได้ยากเย็นหรือลำบากเท่ากับเหล่าพยาบาลเวรแถวหน้าห้องฉุกเฉิน เพราะอย่างนั้นนอกจากการจัดยาให้ผู้ป่วยในชั้นเจ็ด และออกเดินตรวจดูคนไข้หนักบางรายแล้ว เธอก็แทบจะไม่ได้รับการมอบหมายเรื่องอื่นจากรุ่นพี่เท่าไหร่นัก จนกระทั่งเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งถูกพามาส่งที่โรงพยาบาล

  เด็กคนนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย แต่จิตใจของเธอนั้น......แหลกสลายยิ่งกว่าอะไร

คุณมาริ คนที่เหมือนจะเป็นคุณน้าของผู้ป่วยเข้ามาดูอาการเด็กคนนั้นซักพัก ก่อนจะปล่อยให้เด็กผู้ชายอีกคนที่ตามมาหลังจากนั้นดูแลเธอเพียงลำพัง ..เรื่องพวกนี้รุ่นพี่พยาบาลนั้นเล่าให้เธอฟังจนเธออดไม่ได้ที่จะแอบไปดูผู้ป่วยในห้องพิเศษของห้องที่ริมสุดทางเดิน ที่นั่นเองที่เธอได้เห็นว่าเด็กพวกนี้เองก็มีอายุไม่ได้ห่างจากน้องสาวของเธอซักเท่าไหร่นัก

เพราะอย่างนั้นในช่วงที่ได้พักเปลี่ยนเวร เธอจึงเข้ามาในห้องนั้น...ทั้งที่รู้ว่าถ้าหัวหน้าพยาบาลรู้ก็คงจะโดนตำหนิที่ทำอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่เพราะเห็นภาพเด็กพวกนั้นซ้อนทับกับน้องสาวและเพราะเป็นห่วงเด็กสองคนที่อยู่ในโรงพยาบาลกันตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นเธอจึงค่อนข้างกังวล


และเมื่อมาอยู่ใกล้ชิด ซาซากิจึงได้เห็นว่าในสายตาของคนอื่น โมริ นาเดชิโกะ นั้นไม่ปกติ และควรให้ความดูแลอย่างใกล้ชิด... แต่สำหรับเธอ มิซึสึกิ โคฮาคุ เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

เธอไม่แน่ใจว่าคุณหมอกับพยาบาลคนอื่นจะดูกันออกรึเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าเขามีอะไรที่...ไม่ปกติ เด็กผู้ชายคนนั้นปิดปากเงียบและไม่ค่อยพูด เขาไม่ยิ้ม ไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆจนแม้แต่ตัวของเธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่เธอเห็นได้ชัดคือเด็กคนนั้นไม่ได้สบตากับใครเวลาสนทนา ถามคำตอบคำเหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่เลี่ยงปัญหาเวลาพูดคุยกับผู้ใหญ่ แต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่..

บางอย่างของเด็กคนนี้นั้น....ต่างออกไป เธอแค่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร... อาจจะแค่...เป็นห่วงเด็กผู้หญิงคนนั้น?


แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายามอยู่ดี เธอคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นอาจจะแค่ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง หรืออาจจะเข้าสังคมไม่เก่ง เธอจึงคิดว่าช่วงอายุที่ไม่ต่างกันมากนักอาจจะทำให้เขาพูดอะไรออกมาได้บ้าง ถ้าทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายบ้างซักนิดก็ยังดี
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ เรื่องแบบนั้นน่ะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก เรื่องน่ากลัวแบบนั้น.. ฉันรู้ว่ามันยาก แต่เด็กคนนั้นต้องก้าวผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นไปได้แน่ ฉันเข้าใจนะว่าภาพพวกนั้นมันติดตา ฉันก็เคยเห็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่ไม่รอดเหมือนกัน แล้วตายไปต่อหน้าเหมือนกัน”
“ว่าแต่..คนที่เสียไปคือ โมริ ไทโย ที่เป็นญาติกับ โมริ อากิ ที่พักอยู่ที่นี่รึเปล่าจ๊ะ”

แต่เพราะเธอพลาดเผลอพูดคำที่ไม่ควรพูดออกไป กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกเด็กผู้ชายคนนั้นกระชากเข้ามาประชิดตัวพร้อมเสียงเหมือนของแข็งกระทบกับอะไรบางอย่าง นาเดชิโกะเริ่มเหวี่ยงเสาน้ำเกลือไปทั่วเหมือนคนเป็นบ้า ฟาดทำลายทุกอย่างรอบตัวแตกกระจาย ซาซากิหลุดเสียงร้อง ก่อนจะถูกผลักให้ล้มกระเด็นออกไปจากจุดนั้น



โคฮาคุไล่ให้พยาบาลสาวออกไปตามคนอื่น ในขณะที่ตัวเองก้าวเข้าหาคนบนเตียงหมายจะกระชากเสาน้ำเกลือนั่นกลับมา แต่เพราะความไม่ระวัง เสาเหล็กถึงได้ฟาดเต็มๆเข้าที่ขมับจนเกือบล้ม.. ยังดีที่นาเดชิโกะเป็นผู้หญิง...แรงจึงยังไม่มากพอจะน็อคเขาได้ในครั้งเดียว

เขาคว้าเสาน้ำเกลือ ยื้อกับอีกคนอยู่ซักพักจึงกระชากเสาน้ำเกลือปาทิ้งไปได้ แต่อีกคนก็เริ่มคว้าของใกล้ตัวทุ่มปาไปรอบด้าน แก้วน้ำที่โต๊ะข้างเตียงเฉียดหัวเขาไปไม่มาก สุดท้ายจึงตัดสินใจจะจับอีกคนไว้ก่อนที่จะอาละวาดยิ่งกว่านี้ แต่พอแตะตัวเท่านั้น นาเดชิโกะก็กัดเข้าเต็มแขน

".....ไอ้...." คำสบถถูกกลืนลงคอ ด้วยความคิดฉับพลันเลยกอดรัดร่างนั้นไว้แน่น แน่นมากพอจะทำให้เธอไม่สามารถสลัดตัวออกไปอาละวาดได้อีกครั้ง แม้ว่าแขนของเขาจะถูกกัดจนจมเขี้ยวแต่เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย

เลือดที่ไหลหยดลงบนพื้นนั้นถูกเหยียบซ้ำจนกลายเป็นรอยแดงขนาดใหญ่ พร้อมกับบรรดาหมอและพยาบาลที่รีบวิ่งเข้ามาในห้อง


…………..



"ไม่เป็นไรครับ"


นั่นคือคำที่เด็กคนนั้นพูดหลังจากนั้น อารมณ์บนใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย แววตาของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้จะไม่ได้สบตากับเธอเหมือนทุกครั้ง

ซาซากิไม่เข้าใจ

เด็กคนนี้ยกแขนขึ้นกันเธอจากเสาน้ำเกลือ โดนฟาดเข้าที่ขมับ และโดนเด็กคนนั้นกัดจนเลือดไหล แต่เขาก็ยังนิ่ง จะว่าชินแล้วก็ไม่น่าจะใช่ แต่ในเมื่อเขาดูจะไม่อยากพูดอะไรกับเธอ หลังจากที่ทำแผลให้เขาจนเสร็จเธอจึงทำได้เพียงบอกให้เขาหายไวๆ ก่อนจะบอกลาและเดินออกจากห้องไป



-----------------------------------------------------



กลางดึกคืนนั้น ซาซากิถูกไล่ให้ออกมาตรวจห้องของ โมริ นาเดชิโกะ ซาซากิไม่รู้ว่าเพราะรุ่นพี่ไม่อยากจะมาเองรึเปล่า แต่เธอก็อยากจะมาดูเด็กทั้งคู่อยู่แล้ว แม้จะคิดว่าหลับไปแล้วแต่อย่างน้อยการมาตรวจดูก็เป็นสิ่งที่จำเป็น

แต่ตอนที่ซาซากิเปิดแง้มประตูห้อง เธอกลับได้ยินเสียงพึมพำจากในความมืดที่ฟังไม่ได้สรรพ ในตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเสียงของ โมริ นาเดชิโกะ ที่ตื่นจากฤทธิ์ยาขึ้นมากลางดึก แม้จะคิดว่าหมอไม่น่าจะให้ยาน้อยเกินไปแต่เธอก็ไม่ควรประมาท พยาบาลสาวจึงรีบกดเปิดไฟห้องเพื่อให้แน่ใจเพราะหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมาเธอจะได้ตามคนอื่นมาทันท่วงที แต่พอก้าวเข้าไปในห้องเพื่อเช็คสภาพ เด็กคนนั้นกลับยังคงนอนหลับสนิทเหมือนกับเจ้าหญิงนิทรา


และตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธอทุกฝีก้าวจึงได้รีบหันกลับไปมอง

มิซึสึกิ โคฮาคุ นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาผู้ป่วยเหมือนในช่วงเย็นที่เธอเข้าไปหา เหมือนกับว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ขยับตัวไปไหนนอกจากยกขาขึ้นมากอดเอาไว้และซุกหน้าลงไป เด็กคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเหมือนปกติ แต่ดวงตาของเขาที่ล็อคเข้าที่ใบหน้าของซาซากินั้นนิ่งเฉย ตาของพวกเขาสบกัน..แต่เด็กคนนั้นเหมือนกับไม่ได้กำลังมองเธอ แต่กลับมองทะลุตัวของเธอไป...


มองอะไรซักอย่างที่เธอไม่รู้ว่าคืออะไร....


แววตาของเด็กคนนั้นมืดสนิท เขาไม่แม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำตอนที่จ้องหน้าเธอจนเธอเองต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน และนั่นเองที่ทำให้เธอเพิ่งสังเกตว่าเสียงกระซิบนั้นเงียบไป...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ...


เขามองเธออยู่อีกซักพัก ก่อนจะยืดตัวเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเธอให้ชัดขึ้น

ท่ามกลางความเงียบนั้น ซาซากิถึงกับหายใจกระตุกเมื่อเธอเลื่อนสายตากลับไปสบกับเขาอีกครั้ง...

ริมฝีปากของโคฮาคุคลี่ออกอย่างเชื่องช้าแทนคำทักทาย แต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ...เหมือนกับสายตาของเด็กสาวที่ถูกรัดเอาไว้บนเตียง



แววตาของเด็กสองคนนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย...








1.



ภาพในความฝันนั้นยังคงเด่นชัด ไม่ว่าจะในยามหลับ...หรือตื่น...


ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็นที่แดงฉานเหมือนเลือด หัวของโมริ ไทโย กระเด็นขาดต่อหน้าต่อตาของเขากับนาเดชิโกะ

เลือดสีแดงนั้นสาดกระเซ็น


เปรอะไปหมด พร้อมเสียงกรีดร้อง...เสียงที่ฟังไม่เข้าใจ



สีแดง..ของชายคนนั้น



...และเธอ


เธอที่บ้าคลั่ง เธอที่ไร้สตินั้นกำลังโอบกอดหัวของชายคนนั้นเอาไว้ หัวของชายคนนั้น..

กรีดร้อง

เสียงของเธอ



ที่ฟังไม่รู้เรื่อง



เธอกรีดร้อง ร้อง ร้อง ร้อง

เธอนั่งตรงนั้น



บนพื้นนั่น



ฉัน...แค่จ้องมอง


และสบตา



ดวงตาคู่นั้นของเขา.....










จ้องมองมาทางฉัน ด้วยรอยยิ้มนั่น





ที่ไม่เปลี่ยนแปลง















2.


มิซึสิกิ เคย์ รีบเปลี่ยนขบวนรถไฟและนั่งรถต่อกลับมาที่เมืองโยมิยามะทันทีที่โคฮาคุโทรมาหา เสียงของน้องชายเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เขาพูดและอ้อนวอนอย่างที่คนเป็นพี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน


‘พี่.....ช่วยด้วย…’


นั่นคือคำสั้นๆแต่กลับเต็มไปด้วยความหมาย และตอนที่เขากลับมาถึงบ้าน สิ่งที่เห็นทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก ภาพของน้องชายที่ดูไม่ปกติ กับเลือดบางส่วนที่อยู่บนเสื้อนั้นทำให้เขาเริ่มต้นไม่ถูก แต่พอยังไม่ทันจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็วิ่งเข้าห้องน้ำ...อ้วกจนแทบทรุดอยู่ในนั้นจนเขาต้องหันไปหาน้องสาวทั้งสอง

มิอินะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนโคโตเนะที่นิ่งกว่าก็บอกแค่ว่าพออีกฝ่ายกลับจากการไปส่งพี่นาเดชิโกะก็เป็นอย่างนั้น ตัวของเด็กทั้งสองสั่นและกอดกันเอาไว้แน่นจนเขาทำได้เพียงแค่โกหกพวกเธอว่ามันจะไม่เป็นอะไร

กว่าจะกล่อมให้โคฮาคุสงบสติลงและปลอบจนอีกฝ่ายพูดออกมาเป็นภาษาก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เขาทำได้แค่กอดและลูบหลังของน้องชายไว้เพียงเท่านั้น


หัวของ โมริ ไทโย กระเด็นขาดออกไปต่อหน้าต่อตา... มันทำให้น้องชายเขาแทบบ้า


แต่เขาก็เป็นห่วงนาเดชิโกะเช่นกัน จึงได้รีบรุดไปโรงพยาบาลโดยมีโคฮาคุตามมาด้วย และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็นเด็กที่รักเหมือนกับน้องสาวมีสภาพที่ย่ำแย่แทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะพูดคุยยังไงอีกฝ่ายก็ยังคงนั่ง เหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ..เหมือนกับตุ๊กตา....



โคฮาคุขอร้องกับเขาหลังจากนั้นว่าให้ช่วยพาน้องๆกับแม่ไปอยู่ด้วยซักพัก และเขาก็ตกลง.. เอาจริงๆแล้วเขาก็ดึงดันว่าจะอยู่ที่นี่กับอีกคน แต่อีกฝ่ายกลับบีบข้อมือเขาเหมือนกับจะบังคับ...แววตาของน้องชายที่ไม่เคยเห็นกำลังออกคำสั่งเขาว่าให้ทำตามที่พูด..

ซึ่งเขาก็ทำ...


"เพราะอาถรรพ์เหรอ?"


คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ แต่แววตาของน้องชายกลับเปลี่ยนไป...มันดูมืดลงยิ่งกว่าเดิม






3.


ถาดใส่อาหารถูกเทลงในถุง โคฮาคุมัดปากถุงก่อนจะทิ้งมันลงในถังขยะ

ขนมที่ได้มาจากซาซากิซังเองก็ทานไปได้แค่คำสองคำ สุดท้ายก็ต้องใส่ถุงแล้วทิ้งไปเหมือนกัน


เอาจริงๆเขาก็อยากจะเก็บบางอย่างเอาไว้ แต่ถ้าเก็บบางอย่างไว้มันก็จะทำให้ถูกสงสัย...เขาไม่อยากที่จะถูกซักถาม ไม่อยากจะพูดคุยกับใคร ว่าไม่ใช่แค่ โมริ นาเดชิโกะ ที่เห็นเรื่องในวันนั้นเพียงลำพัง..แต่ตัวของเขาเองก็อยู่ตรงนั้น และเห็นทุกอย่างเช่นกัน..


ทุกคืนเขาจะสะดุ้งตื่นมากลางดึกจากฝันร้ายและบางคืนก็ไม่ได้นอนต่อ ทุกวันที่ทานอาหารได้แค่ไม่กี่คำแล้วอ้วกออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เห็นในวันนั้น แค่เพียงปิดตาโลกทั้งใบของเขาก็กลายเป็นสีแดงฉาน

บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครซักคนมองเขาจากความมืด..ความว่างเปล่า และบางทีก็เหมือนกับได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากที่ไหนซักแห่ง

และบางครั้งที่เขานั่งนิ่งอยู่ในตอนเช้า พอรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน...



บางทีเขาอาจจะใกล้เป็นบ้า...



บางที...เขาอาจจะเป็นยิ่งกว่านาเดชิโกะ...



แต่เขาก็ยังคงปิดปากเงียบ และนั่งอยู่ตรงนั้น





จ้องมองข้ามเตียงของนาเดชิโกะไปในความว่างเปล่า.....ราวกับกำลังมองดูใครซักคน









-----------------------------------------------------------------------------------------------------



Talk…

  • เพราะเดินมาส่งนาเดชิโกะ ทำให้โคฮาคุเห็นหัวไทโยซังปลิวไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน แต่เพราะไทโยไม่ได้สำคัญกับเขาเท่านาเดจี้ เจ้าตัวเลยไม่คลั่งเท่านั้น
  • แต่เอาจริงๆ สภาพจิตใจของโคฮาคุตอนนี้เป็นระดับที่มากกว่านาเดชิโกะไประดับหนึ่งไปแล้ว เพราะนาเดจี้อยู่ในสภาวะ “ตกใจและปฏิเสธความจริง” แต่โคฮาคุอยู่ช่วง “ต่อรอง, เศร้า หรือหมดหวัง” คือเริ่มยอมจำนนกับเหตุผล แต่ยังคงไม่ยอมรับ ซึ่งบางครั้งก็เริ่มจะหูแว่วและเห็นภาพหลอนเป็นบางช่วง
  • แต่โคฮาคุไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังนอกจากเคย์(พี่ชาย) เพราะงั้นจะไม่มีใครรู้ว่าเขาเอาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะอย่างนั้นในสายตาคนอื่นก็อาจจะเห็นเขาเงียบลงและเหม่อมากขึ้นเฉยๆ
  • แต่ข้างในมันไม่ใช่… มันไปไกลมากแล้ว...
  • เพราะอย่างนั้นโคฮาคุเลยฝากน้องกับแม่ไว้กับเคย์ ให้เคย์เอาไปโอซาก้าด้วย + ตัวเองคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยมากกว่าถ้าแม่กับน้องๆและพี่ชายไม่ได้อยู่ในเมืองนี้
  • ความจริงเคย์ไม่อยากจะทิ้งโคฮาคุไป แต่เพราะรู้ว่าอยู่ต่อไปน้องคงบ้ากว่านี้ ก็เลยโอเค..แต่ก็กำชับว่าให้ส่งข้อความติดต่อมาทุกวันนะ
  • ก็ใช่จะส่ง--
  • ตอนนี้ส่วนมากจะใช้เวลาอยู่ในห้องพยาบาลของนาเดชิโกะ นั่งอยู่ในนั้นทั้งวัน และจะหยุดเรียนราวๆ 3-4วัน
  • ตอนกลางคืนมันมีมากกว่าพึมพำคนเดียว..มันมีมากกว่านั้น….. แต่ซาซากิซังไม่กล้าจะผ่านห้องนั้นตอนกลางคืนเท่าไหร่แล้ว เพราะอย่างนั้น...อืม จะมีใครได้รู้ไหมก็ต้องรอดูในอนาคต บางทีซาซากิซังอาจจะไปอีกครั้งก็ได้นะ!