สมัยเด็กฉันเป็นคนขี้อิจฉา
อาจจะฟังดูแตกต่างจากตอนนี้มาก
แต่ภายในแล้วฉันก็ยังคงเป็นคนขี้อิจฉาอยู่ดี เพียงแค่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตามมาคงเป็นคำว่า
“ไม่เป็นไร” และกันตัวออกห่างจากสิ่งเหล่านั้นมาตลอด ทำแค่จับตามอง
และหยุดอยู่ในที่ไกลๆเท่านั้น
แต่สมัยก่อนนั้นฉันเป็นเด็กที่อิจฉาจนเรียกได้ว่าอิจฉาได้กับทุกอย่าง
ทั้งเรื่องที่เด็กคนอื่นในห้องมีพ่อกับแม่ไปรวมงานในวันเยี่ยมชมการเรียนการสอน..
..ในขณะที่ถ้าพี่ชายไม่โดดเรียนมาดูฉัน
ก็จะไม่เคยมีใครมาเลย
ทั้งเรื่องที่เด็กคนอื่นได้ของขวัญทั้งในวันปีใหม่
และได้ออกไปเที่ยวในวันเทศกาล..
..ในขณะที่มากสุดของพวกเราคือการนั่งทานหม้อไฟกับพี่โดนที่พ่อกับแม่ออกไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง
และในบางครั้งเคย์จังก็จะออกไปกับเพื่อนๆหลังจากนั้น
ทั้งเรื่องที่เด็กคนอื่นมีในสิ่งที่ฉันไม่มี....
ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า..
ได้ทานอาหารที่แม่ทำทุกวัน..
ได้ทานเค้กวันเกิดทุกปี...
ได้จูงมือกันไปไหว้ศาลเจ้าในวันปีใหม่...
...ทุกคนมีในสิ่งที่ฉันไม่มี...
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังดีใจที่มีคนยอมเป็นเพื่อนกับฉัน
ฟุชิวาริ โอคาเบะ เพื่อนคนแรกที่เล่นเบสบอลด้วยกันตอนอนุบาล..
...ที่สุดท้ายก็เดินทางไปต่างประเทศ และมีเพื่อนใหม่
โนชิโระ อาริสะ กับ อาโอคิชิ อิทสึกิ
เพื่อนที่ได้มาตอนประถม...
...พวกเขาสนิทกันเองมากกว่าฉันเสียอีก
อาโอยามะ จิกะ ที่ได้พบกันตอนประถม
และเล่นซอร์ฟบอลด้วยกันมาตลอด...
...กลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนที่ฉันไม่รู้จักเต็มไปหมด
คันนะซึกิ โคโคโระ
เด็กขี้แงที่ร้องไห้ไม่หยุดจนต้องยื่นมือเข้าหาบ่อยๆ
...ก็ไปสนิทกับคนที่ย้ายมาใหม่อย่าง โยชิฮาระ ซาจิโกะ
เจ้าคนน่ารำคาญอย่าง โรคุดะ โคซารุ กับคนปากหนักอย่าง
โอนิยามะ โทราโนะสึเกะ เอง...
....ก็ไปหา โมริ นาเดชิโกะ ที่เพิ่งย้ายมาในช่วงชั้นประถมปีที่หก
....นอกจากนี้ยังแย่งพี่ชายฉันไปอีกด้วย
น่าอิจฉาจังเลยนะ....
น่าอิจฉาชะมัดเลยนะว่าไหม...
ที่ใครต่อใครต่างก็สนิทกันได้ง่ายๆ
และที่คนอย่างฉันรู้สึกกลัวเกินกว่าที่จะแทรกตัวเข้าไป
แม้ว่าฉันจะมองห่างๆ ทำเป็นไม่สนใจ บอกว่าไม่เป็นอะไร แล้วเหวี่ยงไม้เบสบอลต่อไป...เพียงแค่เพราะต้องการที่จะลืม ก็เลยเหวี่ยงแรงขึ้น แรงขึ้นและแรงขึ้น ฝึกซ้อมจนกว่าพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ให้เหงื่อร่วงลงมาแทนน้ำตา แล้วตีหน้ายิ้มแย้มให้กับพี่ชายระหว่างที่เดินกลับบ้านไปด้วยกัน
ฉันเองก็อยากจะได้เหมือนกันนะ ฉันเองก็ต้องการที่จะมีเหมือนกันนะ
สิ่งที่พวกเธอไม่สนใจ สิ่งที่บางคนมองข้ามไปน่ะ
ทำไมถึงได้...น่าอิจฉาขนาดนี้กันนะ
...มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย...
แต่แล้วเรื่องพวกนั้นก็เริ่มน้อยลง ลดลงอย่างช้าๆ
อาจจะเพราะในตอนนั้นฉันมีองค์หญิงอาจิไซอยู่กับฉัน
ฉันเลยไม่สนใจใครเท่าที่ควร
หรืออาจจะเพราะฉันเริ่มห่างจากคนอื่นๆ ฉันเลยยิ่งผูกตัวติดกับชิโรวกะมากขึ้นก็เป็นได้
มากขึ้น มากขึ้น
มากขึ้นจนรู้สึกว่าถ้ามีแค่เธอแล้วฉันก็ไม่ต้องการใครอีก
มากขึ้นจนรู้สึกว่าฉันคงขาดเธอไปไม่ได้อีก
และมากขึ้นเพราะรู้ดี...ว่าพวกเราสองคนนั้นเหมือนกัน....
เพราะว่าฉันไม่มีใคร และเธอก็ไม่มีใคร
เพราะว่าฉันนั้น อยู่คนเดียว ตัวของเธอก็ อยู่คนเดียว
พวกเราทั้งสองต่างก็ถูกทิ้งจากคนรอบตัว
ทั้งครอบครัวและสังคม
เพราะอย่างนั้นฉันถึงมีแค่เธอ และเธอก็มีแค่ฉัน
เพราะอย่างนั้น...
เธอจึงเป็นสิ่งเดียว
เป็นคนเดียวที่ฉันมี
ที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้...ไม่มี
ตอนที่พวกเราเกี่ยวนิ้วที่ผูกด้ายสีแดงไว้ด้วยกัน เธอยิ้ม ฉันยิ้ม....
ตอนที่เธอหยิบมีดทำครัวออกมากรีดนิ้วของทั้งเธอและฉันก่อนจะยื่นให้มาประกบกัน
เธอบอกกับฉันว่าสิ่งนี้จะผูกพวกเราเข้าไว้ด้วยกัน
เลือดของเธอในตัวของฉัน
เลือดของฉันในตัวของเธอ
จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น....พวกเราจะมีแค่กันและกันตลอดไป
"หลังจากนี้ พวกเราก็จะอยู่ในตัวของกันและกันตลอดไปแล้วนะคะ"
นั่นคือคำพูดขององค์หญิงอาจิไซ
ที่สาปให้ฉันไม่อาจที่จะลืมเรื่องของเธอได้ไปตลอดกาล
"และเท่านี้.. ชิโรวกะก็ไม่ต้องอิจฉาเวลาโคฮาคุคุงคุยกับคนอื่นแล้วด้วยค่ะ"
"เพราะว่าโคฮาคุคุงเป็นของชิโรวกะแล้วยังไงละคะ"
"แม้แต่ความตาย ก็จะพรากพวกเราไปจากกันไม่ได้แล้วล่ะค่ะ"
"เพราะว่าโคฮาคุคุงเป็นของชิโรวกะแล้วยังไงละคะ"
"แม้แต่ความตาย ก็จะพรากพวกเราไปจากกันไม่ได้แล้วล่ะค่ะ"
รอยยิ้มรูปจันทร์เสี้ยวขององค์หญิงอาจิไซนั้นยังคงงดงาม แม้จะอาบย้อมไปด้วยสีดำ
[End.]
No comments:
Post a Comment