Saturday, September 17, 2016

[YK] [12] Drive Me Crazy



(กรุณาอ่าน >> Troublemaker ก่อนนะครับ)





“ทั้งหมด... เป็นเพราะฉัน”

เสียงพึมพำจากคนข้างตัวเรียกให้หันไปมอง แววตาคู่นั้นกำลังสั่น และดูสั่นยิ่งกว่าที่เคยจนรู้สึกว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องของโยชิฮาระเพียงอย่างเดียว แต่พอนึกถึงเรื่องที่พยาบาลจับกลุ่มคุยกันก่อนหน้าก็พอจะประติดประต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก
ทำไมจะคิดไม่ออก
ชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่รู้จัก กับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทั้งตัวเขาและนาเดจิโกะได้ไปคุยกับอีกคนมา..
รินเน่ อัลแบร์โต้...
“เรื่องเกิดขึ้น เพราะเธอสินะ”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาทำหน้ายังไง แต่น้ำเสียงของตัวเองที่ได้ยินมันนิ่งเฉยจนแม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจ
สร้างปัญหา สร้างปัญหา สร้างปัญหาตลอดเวลาไม่รู้จักหยุดจักหย่อนจริงๆ


“หลังจากนี้ไป อยู่เงียบๆแล้วไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว..”


จนกว่าเรื่องจะจบลง ถ้าเธอไม่หาเรื่องใส่ทั้งตัวเองและคนอื่นก็ดีแล้วแท้ๆ ไม่ต้องยุ่งกับใครมากจนเกินไป อย่าเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทั้งที่ก็เคยบอกไปแล้วว่ามันอันตราย ทั้งที่ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าอาจจะมีฆาตกรอยู่ในห้อง
แต่เธอก็ยัง.....
ทำเรื่องโง่ๆออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

“เลิกสร้างปัญหาซักที”
เพราะแค่นี้ฉันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว...
.

.

.

.

.

.

.

ตรงหน้าของเขามีร่างเล็กๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินห่างไปห้าหกเมตร เธอคนนั้นเดินช้าๆเหมือนคนกำลังฝัน เหมือนกำลังละเมอ เหมือนว่าปล่อยให้เท้าพาตัวเองเดินห่างออกไป
ดูก็รู้ว่ากำลังช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น และก็เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงอยากจะได้พื้นที่ของตัวเอง เขาก็เลยเว้นระยะห่างของตัวเองกับอีกฝ่าย ทิ้งตัวห่างออกไป แต่ก็ยังมองเห็นว่าอีกคนยังอยู่ตรงหน้าและไม่ได้หายไปไหน
อากาศคืนนี้เย็นเฉียบพอๆกับสายลมที่พัดผ่านตัวตลอดเวลา ทำให้นึกถึงสิ่งที่ไม่อยากจะคิดถึงได้อีกมากมาย
ในคืนแบบนี้ `เธอ` คนนั้นมักจะแอบออกจากห้องและชวนเขาให้หนีออกจากเมือง และจูงมือพากันไปทางหุบเขา.. ไปทางศาลเจ้าที่รกร้างโดยไม่กลัวทั้งสัตว์ร้าย ปีศาจ หรือมนุษย์ เธอจะหัวเราะคิกคัก แล้วจิกนิ้วลงบนหลังมือของเขาจนแดง
จะว่าไปแล้ว..
ในคืนวันนั้น `เธอ` ก็เดินอยู่หน้าเขาเหมือนกับในตอนนี้เลยนี่นะ
ในขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย คนที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดอยู่ที่กลางสะพาน ส่งผลให้เขาที่เดินตามมาหยุดตัวเองไว้ที่ริมสะพานด้วยเช่นกัน
นาเดชิโกะยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่สายน้ำเบื้องล่างเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เรียกหรือเดินไปหา
เขาแค่เก็บมือเข้าไปในเสื้อกันหนาว แล้วยืนจ้องอีกคนอยู่อย่างนั้น
ก็แค่มอง...

มองเด็กผู้หญิงอายุเท่ากันที่ยืนอยู่ตรงนั้นมาเกือบชั่วโมงด้วยสมองที่ว่างเปล่า..

ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น

“เวรเอ๊ย!!!”


ทั้งเสื้อกันหนาวทั้งผ้าพันคอถูกถอดเขวี้ยงทิ้งไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีตัวเขาก็กระโดดตามอีกฝ่ายลงจากสะพานไปซะแล้ว...


















หนาว…และเจ็บ...



นั่นคือสิ่งแรกที่รู้สึกเหมือนร่างกายสัมผัสกับผืนน้ำเบื้องล่าง

ความสูงของสะพาน ความแรงของสายน้ำ



และความเย็นยะเยียบที่เหมือนกับเข็มมากมายกำลังทิ่มแทง….

นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะ……..

ไม่รอดก็ได้….

แต่ตอนนี้ต้องหายัยนั่นก่อน หายัยโง่นั่น...ให้เจอ…..

อะไรจะตามมาก็ช่างมันไปก่อน....




นาเดชิโกะ!




กระแสน้ำที่เชี่ยวกราดพัดอีกฝ่ายห่างออกไปจนต้องรีบว่ายตาม เพื่อให้กระแสน้ำดันตัวเองให้ตามไปได้เร็วขึ้น...
และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถูกแม่น้ำสีดำกลืนหายไปจากสายตา..
หนาว..........หนาว...
โง่เอ๊ย..
บอกไปแล้วแท้ๆว่าให้อยู่เงียบๆ
บอกไปแล้วแท้ๆว่าไม่ต้องทำอะไรอีก...
 
ทำไมถึงได้...ไม่ฟังกันเลย!!!
.
.
.
.
.
.
.
“แค่ก.....แค่กๆ”
หยดน้ำหยดลงบนพื้นหญ้า....เสื้อผ้าหนักไปทั้งตัว
เขาพยายามดันร่างอีกฝ่ายให้ขึ้นไปบนฝั่งก่อนจะพยายามปีนตามขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะดึงตัวเองขึ้นจากน้ำ..

ขอนไม้ขนาดใหญ่ที่ไหลมาตามน้ำก็กระแทกเข้าที่ต้นขา

กระชากร่างทั้งร่างของเขาให้ร่วงลงไปในน้ำอีกครั้ง……..



…..

...

.












































ใครมันจะ….ไปยอมตายกันวะ




“แฮ่ก…...แค่กๆ...”



กว่าจะตะกายกลับขึ้นมาได้ก็เกือบจะตายลงไปจริงๆ เขาที่ดึงตัวเองกลับขึ้นฝั่งได้ในที่สุดพยุงร่างตัวเองเดินมาหาคนที่ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ



อะไรกัน..


ตายแล้วเหรอ...

ตายง่ายเกินไปแล้ว...

“นาเดจิ….”


เขาหอบ...ทิ้งตัวลงนั่งมองร่างที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ


“นี่..”


“...นาเดชิโกะ”

ดวงตาที่ปิดสนิทยังคงปิดอยู่อย่างนั้น….



แม้ว่าเขาจะเงื้อมือฟาดหน้าอีกฝ่ายไปเต็มแรงแต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ เขาก้มลงพยายามที่จะฟังเสียงหัวใจ….



แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย...



สุดท้ายก็จำต้องก้มลงประกบริมฝีปากทำCPRให้อีกคนอย่างที่เคยเรียนมาในห้อง เขาไม่รู้ว่าร่างของอีกฝ่ายนั้นเย็นขนาดไหนเพราะตัวของเขาเองก็แทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังโชคดีที่มีแรงเหลือมากพอที่จะช่วยคนที่เกือบจะตายให้สำลักน้ำออกมาได้ แม้ว่าจะยังไม่ฟื้น แต่อย่างน้อยตอนนี้…



ก็ยังเบาใจไม่ได้อยู่ดี



เขาพยายามจะยันตัวลุกยืน แต่ร่างกายก็แทบไม่ขยับ

ทั้งแขนทั้งขา เย็นเฉียบจนตัวเองแทบจะไม่รู้สึกอะไร…



หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่งก็สามารถยันตัวเองขึ้นมาได้พร้อมกับอุ้มร่างที่ไม่ได้สติไว้แนบอก…


ก้าวแต่ละก้าวหนัก….เหมือนกับขาถูกถ่วงไปด้วยหิน เลือดก็ยังไหลออกจากแผลที่ถูกกระแทก แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายนั้นตัวเบามากพอที่จะไม่ทำให้เขาเซจนล้ม



ทำไมถึงไม่ทิ้งไว้…


ทำไมถึงต้องช่วย….


ทำไมถึงยังอยู่ด้วยกัน….


ทั้งๆที่…..ถ้าปล่อยให้ตายไปก็ได้แท้ๆ..


จะว่าไป จะไปที่ไหนดีล่ะ…

โรงพยาบาลงั้นเหรอ….ไม่ ไม่ทันหรอก

จริงด้วย ถ้ากลับไปที่สะพานละก็…



“นาเด...ชิโกะ….”


เขาพึมพำ เบาจนแม้แต่ตัวเองยังแทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเองด้วยซ้ำ


“ก็บอกแล้ว…..”


เขาก้มลงเก็บเสื้อกันหนาวของตัวเองมาห่อตัวอีกคน ก่อนจะเอาผ้าพันคอมัดตัวไว้อีกชั้นแล้วช้อนตัวอุ้มอีกครั้ง


“....ว่าไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว”


“ดีแต่...สร้างปัญหา…”


ตายไปซะได้ก็ดี...


ถ้าเกิดฉันตายไปตอนนี้…


ถ้าเกิดว่า….ฉันตายขึ้นมาตอนนี้ล่ะก็……….


แต่ใครมัน..จะไปยอมง่ายๆ….



เขาเห็นแสงไฟเล็กๆบนทางเท้าที่กำลังขยับใกล้เข้ามาทุกที….ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง….











-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สรุป…
  • นาเดจี้ทำตัวงี่เง่ากระโดดสะพาน
  • โคฮาคุเลยกระโดดตามไปลากขึ้นมา โดยดันนาเดจี้ขึ้นไปก่อน
  • แล้วตอนที่ตัวเองจะปีนขึ้นมาก็ถูกขอนไม้กระแทกต้นขาลากกลับลงน้ำไป
  • พอตะกายขึ้นมาได้ก็พบว่านาเดจี้แน่นิ่งไปแล้ว
  • เลยตบหน้าซะ….แต่ไม่ฟื้น
  • แต่นาเดจี้ปากแตก
  • เพราะหนาวจนมือไม่มีความรู้สึกแล้วเลยต้องก้มเอาหูแนบอกลองฟังเสียงหัวใจอีกคน
  • แต่หัวใจนาเดจี้ก็ขี้เกียจเต้นไปแล้ว...
  • สุดท้ายโคฮาคุก็จำใจทำCPR จนนาเดจี้สำลักน้ำออกมา
  • แต่ก็วางใจไม่ได้ จำต้องแบกนาเดจี้ไปโรงพยาบาล
  • แต่เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน เลยเดินไปที่ถนนสายหลัก(สะพาน)
  • เอาเสื้อกันหนาวที่ตัวเองถอดทิ้งไว้มาห่อตัวนาเดจี้ แล้วเอาผ้าพันคอมาพันมัดตัวอีกคนไว้
  • แล้วอุ้มต่อ
  • ก่อนจะสลบ ก็เห็นแสงไฟร่ำไร
  • คุณตำรวจนั่นเองที่ขี่จักรยานผ่านมา
  • เพราะอย่างนั้นตอนนี้สองคนนั้นเลยอยู่รพ.แล้วจ้า (ห้องเดียวกัน เตียงข้างๆ มาเยี่ยมได้)

No comments:

Post a Comment