Sunday, November 15, 2015

[ToB] [T] event 1.4



เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ

The Thief of Baramos fan commu


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



0.

การเขียนจดหมายนั้นไม่ยาก การทำใจส่งต่างหากที่ยากเสียกว่า

ในเวลาที่ผ่านมาโทไบอัสมีจดหมายที่ไม่ได้ส่งอัดแน่นอยู่ในกล่องใต้เตียงถึงสามกล่องใหญ่ๆ เขาเขียนมันแทบทุกวันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวมากมาย และเพื่อบอกเล่าถึงความอ่อนแอของตัวเอง แต่มันก็ไม่เคยถูกส่งไปไหน นอกจากถูกผนึกลงซองที่ไร้ที่อยู่ และโยนเก็บลงกล่องไปอย่างนั้น

โทไบอัสเริ่มต้นเขียนเมื่อเหยียบเข้ามาที่เอดินเบิร์ก เขาเขียนเล่าถึงเรื่องความรู้สึก เรื่องเรียน เรื่องงานพิเศษ เรื่องคนรอบตัว เขานั่งคิดอยู่เป็นวันว่าจะต้องเขียนภาษาแบบไหน จะต้องเล่ายังไง แต่มันก็เหมือนกับความตั้งใจที่ว่างเปล่า เมื่อสุดท้ายแล้วจดหมายพวกนั้นก็ไม่ได้ถูกส่งไปไหนเสียที


จะเรียกว่าการเตรียมใจไหม...ก็คงไม่

แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเขียนจดหมายส่งกลับบ้านตอนกลางปีที่สามของโรงเรียนพระราชา...เพราะความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งที่ถาโถมเข้ามาจนเขาอยากจะพูดคุยกับใครซักคน และสุดท้ายเขาก็เลือกคนที่เขาไม่คิดว่าจะติดต่อไปหาไวถึงขนาดนี้..

คนที่เขาทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวมากว่าสามปี..



1.

ถึง ไอแวน เซปาร์


หลังจากผ่านไปเกือบสามปี น้องชายผู้โง่เง่าของท่านก็เขียนจดหมายมาหาท่านแล้ว

จดหมายฉบับนี้คงยาวมากพอดูเพราะข้าเขียนทบในส่วนของสองปีที่หายไป แต่ถ้าท่านไม่อยากอ่าน ก็โยนมันลงกองไฟไปซะ และไม่ต้องตอบอะไรกลับมา ข้าจะได้ถือว่าท่านปฏิเสธที่จะรับรู้สิ่งที่ข้าต้องการจะเล่า และให้ข้าเลิกทำตัวงี่เง่าเหมือนเด็กไม่ยอมโตซักที

ข้ารู้ว่าระยะเวลาสองปีกว่ามันนานมากเกินไป และการที่ข้าไม่ติดต่ออะไรมาเลยท่านก็อาจจะโกรธ แต่ตอนที่ท่านเรียนโรงเรียนพระราชานั่นสามสี่ปี ท่านก็ไม่ติดต่ออะไรกับมาเลยเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรข้าหรอก

แต่เพราะว่าข้าไม่ได้ติดต่อกับท่าน มันก็เลยทำให้ข้าได้คิดทบทวนอะไรอีกมาก และการทำงานก็ทำให้ข้าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอะไรมากมายให้รกสมองไปมากกว่านี้ พี่อาจจะเห็นว่ามันฟังดูงี่เง่าที่ข้าใช้เวลากว่าหกปีในการพยายาม แต่สำหรับข้า เวลาแค่หกปีมันยังไม่พอ ข้ายังคงคิดเรื่องในวันที่เห็นชายคนนั้นห้อยตัวลงมาจากเพดานด้วยเชือกเส้นเดียว เหมือนกับโคมไฟที่ไร้แสง แห้งกรอบและน่าอดสู

แล้วมันก็ทำให้ข้าคิด กว่าพวกเราจะมาถึงจุดนี้ กว่าตัวข้าจะมาเป็นตัวข้าในตอนนี้ กว่าตัวพี่จะมาเป็นตัวพี่ พวกเราต่างก็ทิ้งอะไรต่อมิอะไรมามากมาย ทั้งวันที่ผู้คนรอบข้างทอดทิ้งพวกเรา ทิ้งวันที่พวกเราตัดความหวังและทิ้งพ่อให้จมปลักในความมืด ทั้งวันที่พ่อเลือกจะฆ่าตัวตายทิ้งพวกเราเอาไว้เพราะนึกว่าถูกราชินีทอดทิ้ง หรือจะเป็นพวกเราที่ทิ้งพวกพี่และน้องสาวให้อยู่ในความดูแลของราชินี แล้วคารอสก็ทิ้งพวกเราไปซาเรส แล้วข้าก็ทิ้งพี่ให้อยู่ที่สลัมในบารามอส

พวกเราต่างทิ้งและถูกทอดทิ้ง ทั้งจากความรัก ครอบครัว และมิตรสหาย โลกของข้าเปลี่ยนตั้งแต่หกปีก่อน เงาของความมืดทอดยาวปกคลุมทุกอย่าง มันทำให้ข้าได้เห็นอะไรมากกว่าที่ควรจะเห็น ข้ารู้ว่าตัวพี่เองก็เช่นกัน

และมันอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุดก็ได้ และในซักวันหนึ่งข้างหน้า ข้าเองก็อาจจะทิ้งอะไรบางสิ่ง เหมือนที่ข้าเคยทิ้งความฝันของข้าไป และข้าอาจจะใกล้ถูกบางอย่างทอดทิ้ง เหมือนอย่างเช่นความเข้มแข็งที่ข้ายังคงพยายามยึดเหนี่ยวไว้

ข้าทรมาน เหมือนกับท่าน ข้ายังคงเป็นเสมอ

ทุกคืนที่ข้าเฝ้าเขียนจดหมายที่ไม่ได้ส่ง ข้ารู้สึกแย่ ข้าอยากจะทำลายมัน แต่ก็ทำไม่ได้ แต่พอจะส่ง ข้าก็ไม่สามารถจะทำใจส่งไปได้เช่นกัน สุดท้ายก็ได้แต่เขียนจดหมายทุกคืนๆ ให้มันกองอยู่ในกล่องที่ใต้เตียง ก็คงจะมีแต่ฉบับนี้ละมั้งที่ข้าส่งมาหาพี่ ข้าทำใจอยู่นานมาก ถ้าท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ข้าก็อยากจะบอกว่าดีใจที่ท่านยังสนใจในเรื่องของข้า

และข้าไม่ได้อยากจะพูดคำนี้นัก แต่ข้ากำลังต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ข้าต้องการคำแนะนำของท่าน แม้ว่าที่นี่จะมีใครต่อใครที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือข้า แต่ข้ารู้ตัวดีว่าข้าจะไม่ยอมรับความเห็นอกเห็นใจและเชื่อฟังพวกเขา ข้ารู้ว่าข้าดื้อแค่ไหน และข้ารู้ว่าข้ามีทิฐิสูงแค่ไหน เพราะอย่างนั้นข้าจึงคิดว่าคนที่ข้าควรจะคุยมากที่สุด หากไม่ใช่เมริดิธก็คงจะเป็นท่าน

ตอนนี้สายตาของข้ากำลังจะมืดบอด ท่านพี่

การอยู่ที่นี่ทำให้ข้าได้มองเห็นประกายไฟในตัวเด็กพวกนี้ มันกำลังลุกโชน สว่างไสว ในขณะที่แสงของข้ากำลังริบหรี่ลง ข้ารู้ตัวเองดี

การได้เห็นพวกเขาพยายามไล่ตามความฝัน พยายามทำตามหน้าที่ของตัวเอง มันทำให้ข้ามีความสุข มันทำให้ข้ายิ้ม อยากจะเห็นพวกเขาในอนาคต อยากจะเห็นพวกเขาไปต่อ ในทุกวันที่ข้าได้ฝึกพวกเขา ได้พูดคุยและสั่งสอน มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนข้าได้กลับมาเป็นพี่ชายอีกครั้ง เป็นพี่ชายของคารอส เรเน่ เซียด้า เป็นพี่ชายที่เข้มแข็ง เป็นพี่ชายที่พวกเขาสามารถเรียกหาได้ในยามที่มองหาทางข้างหน้าไม่เจอ หรือเจอกับปัญหา ถึงแม้บางคนจะไม่ได้ชอบข้าก็ตามที (หัวเราะ)

ข้าสนุก ท่านพี่ ข้ามีความสุข ข้าอยากจะใช้เวลากับพวกเขาให้มากกว่านี้ อยากจะคอยสั่งสอนอะไรต่างๆให้มากกว่านี้ ข้าอยากจะช่วยพวกเขามากกว่านี้ มันช่างฟังดูย้อนแย้งนะพี่ว่าไหม ข้าอยากช่วยพวกเขา แต่ข้าไม่อยากให้พวกเขาช่วยเหลือ แต่ข้าเป็นคนดื้อ พี่เองก็รู้ดี

แต่การจะทำตัวเป็นพี่ชายของใครซักคน พี่คิดว่ามันเหมาะสมรึเปล่า พี่คิดว่าสามคนนั้นจะงอนข้าไหม ไม่ได้พูดถึงเรื่องว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับข้ารึเปล่าหรอกเพราะข้าไม่ได้สนใจนัก ข้าแค่ทำในสิ่งที่อยากจะทำ

พี่ว่ามันสมควรรึเปล่า

พี่คิดว่าข้าควรจะพักได้แล้วรึยัง


ลงชื่อ โทไบอัส เซปาร์



2.

ถึง โทไบอัส เซปาร์


ข้าดีใจที่เจ้ายอมเขียนจดหมายมาคุยกับข้า และเลือกข้าแทนที่จะเป็นเมริดิธ แต่เรื่องเงินที่เจ้าส่งมาให้ทุกเดือนนั้นเจ้าควรเก็บไว้ใช้เองเสียบ้าง เงินทุกเหรียญเป็นของเจ้า เจ้าเป็นเจ้าของ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังพยายามชดเชยการที่เจ้าเลือกจะเข้าเรียนที่บารามอสเพื่อไล่ตามในสิ่งที่ตนต้องการเมื่อตอนอายุสิบห้าแล้วทิ้งข้าไว้ที่นี่ และข้าก็รู้ดีว่าเจ้าต้องทำงานหนักมากแค่ไหน แต่ในตอนนี้ข้าเองก็เดินต่อไปแล้วเหมือนกัน

จงอย่าหักโหมเกินไปนักโทไบอัส ถึงการทำงานจะทำให้เจ้าลืม แต่มันก็ชั่วคราว ไม่มีใครที่จะวิ่งหนีได้ตลอดไป ทั้งข้า ทั้งเจ้า พวกเรามีเส้นทางของเราและพวกเรายังคงอยู่บนเส้นทางนั้น ถึงแม้อนาคตจะมีเส้นทางใหม่มาให้เจ้า แต่ทางที่ผ่านไปแล้วมันจะอยู่ติดตัวเจ้าตลอดไป สิ่งที่เจ้าควรมองในตอนนี้ไม่ใช่เบื้องหลัง แต่เป็นข้างหน้า ทำอย่างที่เจ้าเคยทำมาเสมอ และอย่ากังวลเรื่องของข้าอีก

ข้าเป็นห่วงเจ้า คนอื่นเองก็เป็นห่วงเจ้าเช่นกัน ทั้งเจ้าทั้งคารอสต่างก็พยายามกันมาตลอด เพราะอย่างนั้นข้าไม่เห็นว่ามันจะงี่เง่าตรงไหน ไม่งี่เง่าเลย พวกเจ้าเป็นน้องที่พวกเราต่างภูมิใจ

ข้าต่างหากที่เป็นพี่ชายที่แย่ ข้าเป็นส่วนหนึ่งที่ฉุดรั้งเจ้าเอาไว้ด้วยหน้าที่และความสัมพันธ์ แต่อยากให้เจ้ารู้

และเจ้าดูมีความสุขกับทางโรงเรียนก็ดีแล้ว วันหลังเขียนเล่าเรื่องที่นั่นมาให้ข้าฟังเสียบ้าง


ลงชื่อ ไอแวน เซปาร์



3.

ชายหนุ่มหยุดมือ เขายกปากกาค้างไว้อย่างครุ่นคิดกับข้อความสั้นๆแค่ครึ่งหน้ากระดาษ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะตัดจบจดหมายนั้นหลังอ่านทบทวนอยู่ถึงสามครั้ง ไอแวนดับเทียนไขและนั่งอยู่ในความมืดอย่างนั้น ควันสีขาวที่กระทบกับแสงภาพนอกขยับไหวราวกับผืนผ้าขาว เขาหลุบตา

ความเข้มแข็งกับความอ่อนแอ จะตัวเขาหรือน้องชายต่างก็มีกันทั้งนั้น เอาตามตรง ตลอดสามปีที่ผ่านมาพวกเขาเหมือนกำลังเล่นสงครามประสาทใส่กัน

โทไบอัสไม่ส่งจดหมายใดกลับมาหา มีเพียงแค่เงินเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมาทุกเดือน

เขาเองก็ไม่เดินทางไปหาหรือทักท้วงอันใดทั้งที่เป็นห่วงจนแทบบ้า ...แต่ก็ทำแค่ส่งต่อจดหมายจากพวกน้องสาวไปให้อีกคนก็เท่านั้น

ทั้งดื้อ..

ทั้งดันทุรัง...

แต่อย่างน้อยก็ดีใจกับจดหมายที่อีกฝ่ายเขียนกลับมา



4.

ถึง ไอแวน เซปาร์

ข้าเข้าใจและรับรู้ทุกอย่างที่ท่านต้องการจะสื่อ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง และข้าเองก็แบ่งเงินไว้ใช้ส่วนหนึ่งแล้วเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถึงข้าจะทำงานหนัก แต่ข้าก็มีเงินกินข้าว เข้าซ่อง ซื้อของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ผลการเรียนข้าดีมาก ข้าแนบมันคิดไปให้ดูด้วย ข้าฉลากว่าท่านรึเปล่าสมัยเรียน่ะ

จะว่าไปแล้ว เรื่องของโรงเรียนพระราชาอย่างนั้นเหรอ ข้ามีเรื่องอยากจะเล่าตั้งหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่ข้าช่วยเด็กหลายคนในการฝึกดาบ ฝึกมารยาท สอนการบ้าน ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่มขึ้นมากมาย แต่สำหรับผู้หญิงนั้นไม่รู้เป็นอะไร พวกนางดูไม่ค่อยชอบข้าซักเท่าไหร่ ทั้งที่ข้าก็พยายามทำดีกับพวกนางแล้วแท้ๆ สาวๆนอกโรงเรียนยังรักข้ามากกว่าพวกนางเสียอีก

แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ข้าได้พบเด็กบ้านอาร์กีริสที่นี่ด้วย จำได้ไหม วอร์ริคน่ะ คอนนี้เจ้านั้นอยู่ชั้นปีที่สูงกว่าข้าไปหนึ่งชั้น เห็นแลวก็รู้สึกเจ็บใจแปลกๆ แต่ก็คงไม่เท่าตอนที่ข้าแพ้ให้กับคนอายุเท่ากันเมื่อปีก่อน

พี่คิดว่าเพียงแค่เข้าเรียนก่อนเข้าหลัง ฝีมือมันจะห่างชั้นกันได้มากถึงขนาดนั้นเลยรึเปล่า

ลงชื่อ โทไบอัส เซปาร์

(แนบใบผลการเรียนติดไปให้)



5.

ถึง โทไบอัส เซปาร์

ข้าก็อยากจะชื่นชมกับการตั้งใจทำงานและตั้งใจเรียนของเจ้า แต่เรื่องไปเที่ยวย่านเริงรมณ์นั้น เจ้าไม่ใส่มาข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกนะ และจะไม่ให้ข้าเป็นห่วงเจ้าได้ยังไง ถึงข้าจะมีน้องหลายคน แต่ทุกคนก็ไม่ใช่คนเดียวกัน และเจ้าก็คือเจ้า มีโทไบอัสเพียงคนเดียวที่เป็นโทไบอัส เพราะอย่างนั้นจงดูแลตัวเองให้ดี

เจ้าได้คะแนนบางวิชาสูงกว่าข้า แต่บางวิชาข้าก็เก่งกว่าเจ้า ฉลาดกว่าหรือไม่ข้าไม่รู้หรอก แต่เจ้ามีความพยายามแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ ทำได้ดีมากโทไบอัส

และเรื่องเกี่ยวกับสตรีเจ้าไม่สมควรจะถามข้า เจ้าควรจะถามตัวเองว่าเจ้าได้ทำอะไรกับพวกนางไว้รึเปล่า เจ้าชอบเล่นแผลงๆ สุภาพสตรีเป็นเพศที่เจ้าควรจะให้เกียรติเสมอนะ

วอร์ริค อาร์กีริส ทำไมข้าจะจำไม่ได้ ลูกชายคนเล็กของตระกูลอาร์กีริส สมัยก่อนพวกเราก็ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ตอนนี้เขาอยู่ชั้นแที่มกกว่าเจ้าสินะ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คือน้องของพวกเรา เจ้าควรจะดูแลเขาเสียบ้าง ไม่ใช่เหมือนตอนเด็กๆที่ชอบไปแกล้งเขาเล่นอย่างนั้น

และมันก็ใช่ที่คนที่เรียนก่อนจะมีความสามารถที่มากกว่าเจ้า แต่นั่นก็เพราะพวกเขาได้ศึกษามาก่อนก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ หากเจ้าอยากจะไปเหนื่อพวกเขา หรือตีเสมอ เจ้าก็ควรจะศึกษาในสิ่งที่สูงขึ้นไปมันก็เท่านั้น เจ้าก็เพียงทำอย่างที่เจ้าทำมาเสมอ แต่ทำให้มากขึ้นก็พอ

ลงชื่อ ไอแวน  เซปาร์

ปล. อย่าหักโหม



6.

การเขียนจดหมายโต้ตอบ บางครั้งมันก็ดีกว่าการพบเจอหน้ากัน เขาคิดอย่างนั้นตอนที่ตัวเองเริ่มเขียนจดหมายโต้ตอบกับไอแวน

จะให้พูดมันก็คงจะน่าขัน แต่เขาได้มารู้ว่าตัวเองคิดถึงพี่ชายมากแค่ไหนก็ตอนที่เห็นลายมือของอีกฝ่ายบนซองจดหมายทั้งที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถคิดถึงอีกฝ่ายได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตอนอีกคนอยู่ที่โรงเรียนพระราชาและไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันเขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลยแท้ๆ

แต่การที่มาอยู่ที่นี่แล้วทำตัวเหมือนพี่ชายแทบตลอดเวลา...พอได้กลับไปทำตัวเหมือนน้องชายอีกครั้ง มันก็จั๊กจี้ดีพิลึก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่

และ...ใช่ เรื่องบางเรื่องที่ทำให้อึดอัดใจมาตลอด การไม่ได้พบหน้ากันก็ย่อมพูดได้ง่ายกว่าเป็นไหนๆ



7.

ถึง ไอแวน เซปาร์

นี่ท่านพี่

ข้าเป็นน้องชายที่ท่านภูมิใจแล้วรึยัง

และถ้าข้าอยากจะไปต่อในเส้นทางของตัวข้า ไล่ตามความฝันเก่าๆแล้วโยนภาระทุกอย่างทิ้งไป ท่านจะอภัยให้ข้าได้รึเปล่า

ถ้าข้าอยากจะหยุดพักจากเรื่องของเซปาร์ แล้วเต็มที่กับตัวเอง เต็มที่กับคนรอบตัวของข้า จับมือของพวกเขาแล้วเดินต่อไปมากกว่านี้ ท่านจะอภัยให้ข้าได้ไหม

ถ้าข้าอยากที่จะมีชีวิตต่อไป โดยไม่แบกรับความผิดบาปที่พวกเราได้เคยก่อไว้อีกต่อไปอีกแล้ว แล้วก้าวต่อไปข้างหน้า เดินต่อไปเพื่อให้เข้มแข็งขึ้นไม่ใช่หยุดอยู่ตรงนี้ ได้ร้องไห้ ได้อ่อนแอ เพื่อที่จะยิ้มให้กว้างกว่าที่เป็น ถ้าข้าจะทำเพื่อตัวของข้าเอง ไม่ใช่เพื่อตระกูล ไม่ใช่เพื่อพวกพี่ ไม่ใช่เพื่อน้องๆ พวกท่านจะคิดยังไง

แล้วท่านคิดว่าข้าจะให้อภัยตัวเองได้ไหม ที่อยากจะมีความสุขให้มากขึ้นกว่าที่เป็น

จะให้อภัยตัวเองได้ไหม ที่อยากจะใช้ชีวิตนี้เพื่อตัวของตัวเอง


ลงชื่อ โทไบอัส เซปาร์



8.

ถึง โทไบอัส

เจ้าอดทนมามากพอแล้ว หากนั่นเป็นเส้นทางที่เจ้าเลือกก็จงไปเสีย จงใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ตัวเองต้องการ

ข้าขอโทษ
ลงชื่อ ไอแวน เซปาร์

ปล. ปีนี้กลับบ้านได้ไหม ข้าอยากคุยกับเจ้า



9.

โทไบอัสหลุบตามองจดหมายที่ในมือ เขาปิดตาลงเมื่ออ่านข้อความเหล่านั้นจนจบ ข้อความสั้นๆในตอนท้ายนั้น อ่านยังไงก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนพี่ชายอ้อนวอนขอร้องให้กลับยังไงชอบกล แต่จะว่าไปก็นานเหมือนกันสินะที่ไม่ได้กลับไปที่นั่น

ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาหยิบปากกาที่ทัดหูไว้ใส่มือพร้อมเอื้อมหยิบแผ่นกระดาษที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบมาตวัดเขียนข้อความสั้นๆ ก่อนพับใส่ซองจดหมายและปิดผนึกอย่างรวดเร็ว



10.

ถึง ไอแวน

ถ้าพี่สัญญาจะซ้อมดาบกับข้า ข้าอาจจะลองคิดดูอีกที

ลงชื่อ โทไบอัส เซปาร์





----------------------------------------------------------------------------------------------

สรุปปี

  • ปิดเทอมที่ผ่านมาเดินทางไปซาเรสพร้อมเอ็ดการ์ หนาวมาก แต่ได้ประสบการณ์ และทักษะใหม่ๆติดตัวมาเพียบ + ค่าความอึด
  • ได้ต่อสู้กับเอ็ดการ์ในหมากกระดาน : ชนะ
  • ได้ดาบที่เคยเอาไปจำนำไว้กับวอร์ริคคืน
  • เริ่มเขียนจดหมายโต้ตอบกับพี่ชายคนโตที่อยู่บารามอส
  • เริ่มจะก้าวต่อไปข้างหน้า และพักวางเรื่องที่ทำให้เครียดตลอดเวลาลงบ้างแล้ว




[ToB] [O] event 1.4


เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ

The Thief of Baramos fan commu


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




**อนึ่ง : ถึงชื่อตอนจะเอามาจากชื่อเพลง แต่ก็ไม่มีความเกี่ยวของกับเพลงเหล่านั้นแต่อย่างใด**
**อนึ่ง2 : การบ้านนี้มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ผัก หรือเส้น ใดๆทั้งสิ้น**


สรุปปีนี้แบบง่ายๆ
  • ปิดเทอมก่อนหน้านี้ไปคาโนวาลกับอรามิสและโครเซ่ ได้เรียนรู้การทำอาหารและการรักษาพยาบาลด้วยความจำเป็น
  • ได้เข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ของการเลี้ยงเด็ก...การอุ้มเด็กนี่มันน่ากลัวชะมัด
  • แล้วก็เดินทางไปทริสทอร์กับโครเซ่และเอซ ส่วนอรามิสโดนหิ้วกลับบ้านไปแล้ว
  • พบโจรป่ามากมาย เลยเกือบฆ่าพวกนั้นทิ้ง แต่โดนห้ามเอาไว้ก่อน
  • เลยทำได้แค่ตัดแขน... ซึ่งโครเซ่ก็ห้ามเลือดให้โจรไปแล้ว
  • มาถึงทริสทอร์เพื่อร่วมงานแต่งพี่สาว...เป็นการพาคนมาบ้านครั้งแรก(โครเซ่)
  • ช่วงสอบปลายภาคตุ๊กตาขยับได้ "แร๊กกี้" (อายุการใช้งาน 10ปี) พังและซ่อมไม่ได้ ออรี่เสียใจมาก
  • ผลการเรียนดรอปดิ่ง
  • โดนรุ่นน้องแผ่นดินฯจูบ และบอกชอบ
  • ไปไล่ถามคนในรุ่นว่าความรักคืออะไร
  • ก็เหมือนจะเข้าใจนะ แต่ก็...ก็จะพยายามเรียนรู้ต่อไป
  • ให้คำตอบกับรุ่นน้องคนนั้น
  • ฝันร้าย....
  • คุยกับเฮมุสแล้วโดนโยงไปเรื่องลาออกจากโรงเรียน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลาออก

[ToB] [O] event 1.4 : Black

"In All My Dreams I Drown"



11.

สีดำ...

สีของกลางคืน

สีของความสงบและความเงียบงัน

สีของน้ำหมึก

สีของการปกป้อง..

สีของความฝัน....และความตาย



12.

ข้าลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงสว่างและเสียงเจือแจ้วของเจ้าตุ๊กตาสีน้ำตาล แร็กกี้กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ วิ่งไล่ผีเสื้อแปลกตาไปรอบๆตัวข้า ดูรื่นเริงเหมือนอยู่ในฝัน...หรือความจริงข้าฝันมาตลอด และนี่ต่างหากคือความจริง พอข้ามองไปรอบตัว ก่อนเจ้าตุ๊กตาจะกระโดดขึ้นมาบนตัวของข้า กอดข้าเอาไว้ แต่ข้าทำเพียงแค่มองดู

นี่คือความฝัน...

โดยไม่ต้องให้ใครบอกข้าก็เข้าใจได้ นี่คือความฝัน มันไม่ใช่ความจริง ถึงแม้ข้าจะอยากให้มันเป็นจริงแค่ไหน แต่สีดำไม่มีทางถูกเปลี่ยนให้เป็นสีขาว สิ่งที่ตายไปไม่มีทางกลับคืนมา

โลกของข้า...เจ้าดับมันไปแล้ว

"ช่างเป็นตุ๊กตาที่โหดร้ายเสียจริง"

ข้ายิ้ม...ให้ตุ๊กตาที่กอดมือข้าไว้ เส้นด้านที่ถูกปักให้เป็นรอยยิ้มนั้นไม่มีวันเปลี่ยน... แร็กกี้จะยิ้มอยู่เสมอ แม้จะตายก็ยังคงยิ้ม ..เพราะข้าทำให้เจ้ายิ้ม ข้ากำหนดให้เจ้ายิ้ม

แล้วสิ่งที่ข้ากำหนดก็กลายเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงตัวข้าเองเสียได้

เจ้าตุ๊กตาที่ไม่มีวันร่ำไห้ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำข้าร้องไห้มากแค่ไหน

'ออริออน'

แต่พอข้าเอื้อมมือไปแตะ เจ้าเศษผ้านั่นก็ลุกเป็นไฟ รำไห้เรียกหาตัวของข้า..ที่ยังคงนิ่งมอง

เพดานของท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีน้ำหมึก มันละลายเยิ้มไหลราวกับเทียนที่ถูกลนด้วยเปลวเพลิง มันกำลังไหลลงมาเหมือนก้อนเนยบนแผ่นเหล็กใต้แสงตะวันยามบ่าย

มันละลาย...กลืนกินไปหมด

ท้องฟ้าสีฟ้า แสงแดดสีทอง ก้อนเมฆสีขาว ทุ่งหญ้าสีเขียว...พวกมันกำลังละรายราวกับขี้ผึ้งที่กำลังถูกลนด้วยไฟ ละลายไหลลงไปกองกับพื้น ผสมสีกันจนกลายเป็นสีดำที่ขุ่นข้น ไหลทะลักกลืนกินสิ่งรอบข้างอย่างเชื่องช้า

เสียงร้องไห้นั้นดังก้องอยู่ในหัว เสียงร้องของผู้คนที่ตามหลอกหลอนนั้นร่ำร้องสาปแช่งและวิงวอนขอชีวิต ดังมาจากรอบข้าง...รอบข้างที่แสงสว่างถูกกลืนหาย

พวกเขาอ้อนวอนต่อเทวดา ต่อพระเจ้า

โดยลืมไปว่าประเทศของคนทรยศนั้นไร้ซึ่งพระเจ้า

โดยลืมไปว่าประเทศของคนที่ถูกทรยศนั้นไม่ตอนรับซึ่งพระเจ้า

แต่พวกเขาก็ยัง อ้อนวอน ร่ำร้อง วิงวอน ภาวนา

ทั้งที่ต่างก็รู้ดีว่าหัวจะหลุดจากบ่า ความตายจะก้าวมาหา แต่คนเหล่านั้นก็ยังพยายามเชื่อมั่นในความหวังที่ไม่มีวันมาถึง

...ซักวันก็ต้องตาย ไม่ว่าใครต่างก็ต้องตาย...

เสียงพวกนั้นดังอยู่ในหัวเหมือนกับว่าผู้ขาดเขลานั้นอยู่ในหัว ในสมอง อยู่ในทุกๆที่รอบตัวของเขา

ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้


เสียงพวกนั้นเหมือนจะทำให้ข้าเป็นบ้า



13.

แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


ออริออน ราฟาเล่ นั่งหอบอยู่บนเตียงในห้องนอนของปราการปราชญ์ ดวงตาเขาเบิกกว้าง สะท้อนกับแสงแดดที่ลอดส่องเข้ามาจากนอกผ้าม่านจนส่องประกายวาวเรืองๆเหมือนกำลังเกรี้ยวกราด

แต่เขาไม่ได้โกรธ มันคือความสับสนต่างหาก

เขาหอบ

หายใจไม่ทัน

ความฝันเหมือนวิ่งไล่ตามเขามาเป็นกิโลๆจนหัวใจของเขาเต้นรัวเหมือนกับจังหวะเคาะเท้าของผู้คนที่กำลังร่ายรำอย่างคุ้มคลั่งบนฟลอร์ที่เบี้ยวบิด

เขาอาจจะกำลังบ้าคลั่งไปกับบทเพลงที่ไร้เสียง กำลังเต้นรำจนอ่อนล้าทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ

จิตใจของเขาคงจะกำลังบ้าคลั่งไปกับโน๊ตดนตรีที่ไร้ตัวตัวนั่น...โน๊ตของเพลงที่ไม่เคยมีใครเห็นเหมือนกับเส้นเอ็นที่รัดร่างกายเขาราวกับตุ๊กตาเชิด เป็นหุ่นกระบอกที่ไม่มีทางหนีสายป่านที่เรียกว่าความจริงไปได้

ออริออนหันไปมองเศษผ้าสีน้ำตาลที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ

แต่กับอะไรนั้นเขาไม่อยากจะรับรู้ ไม่อยากจะรู้ และไม่ได้อยากจะยอมรับ

แต่เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร สมดุลย์ของเขากำลังพังทลาย -- มันไม่ได้แหลกสลายเป็นผุยผง แต่มันเหมือนกำแพงที่สร้างขึ้นมาจากทรายผสมน้ำตั้งแต่แรก และตอนนี้มันก็กำลังถูกคลื่และลมทะเลแห่งความโศกเศร้ากัดเซาะอย่างบ้าคลั่ง


การสูญเสียที่แท้จริง....ทำให้รับรู้ว่าสิ่งที่เสียไปนั้นสำคัญมากเพียงใด

กว่าจะรู้มันก็สายเกินไป...

สายเกินไปมากทีเดียว




[ToB] [O] event 1.4 : Red

"The Meaning Of Love"


4.

'หัวใจ'

คำๆนี้สำหรับข้าแล้วมันคือ 'รูปธรรม' ไม่ใช่ 'นามธรรม'

สำหรับ 'รูปธรรม' นั้น ข้ารู้ว่าตัวของข้ามีก้อนเนื้ออยู่หนึ่งก้อน และมันก็เต้นอยู่ในอกของข้า มันเต้นอยู่ทุกวัน ทุกวัน เพื่อให้ข้ามีชีวิต มันสูบฉีดเลือด หล่อเลี้ยงไปตามร่างกายเหมือนกับต้นไม้ที่ต้องการน้ำเพื่อทำให้มันยังคงมีชีวิต

หากไร้ก้อนเนื้อก้อนนี้ ข้าก็จะตาย...เหมือนกับทุกๆคน

เป็นเพียงกายเนื้อกลวงเปล่า เย็นชืด... ไม่ต่างจากอาหารที่ถูกวางทิ้งไว้ในจานไม้ที่ถูกผู้คนเรียกขานกันว่า 'โลงศพ' ซึ่งวางตั้งไว้เพื่อรอคอยให้รากไม้และแมลงกัดกินชอนไชจนหมดไปในซักวัน

ร่างกายของคนเราก็เปรียบเหมือนดั่งอาหารมื้อหนึ่งที่ถูกตั้งอยู่ในดิน ประดับด้วยแท่นหินสลักสีเทางดงามอันแสนเศร้าแทนที่กุหลาบแดงประดับโต๊ะ.. แท่นหินที่ไม่ได้ร่ำไห้ แต่กลับหมองหม่น พร้อมกับป้ายชื่อที่วางเคียงไว้เพื่อบอกให้รู้ว่าเมนูที่อย่ในจานนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร


สำหรับข้า..นั่นคือ 'หัวใจ'

คือสิ่งที่เหมือนกับก้อนพลังงาน ทำให้คนมีชีวิต

ทำให้ร่างกายขับเคลื่อน


แต่หากจะถามตัวข้าว่า 'นามธรรม' นั้นเป็นอย่างไร...ข้าก็คงยากที่จะอธิบายมันออกมา แต่หากจะให้พยายามที่จะหาคำตอบแล้วนั้น "สีแดง" คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับตัวข้าในตอนนี้



5.

สีแดงของข้าคือสีแดงของเลือด

คือสีของสงคราม

คือสีของเปลวไฟ

สีแดง...


เหมือนกับดอกกุหลาบดอกหนึ่ง ที่กำลังผลิบานอยู่ในหัวใจ

แต่กับริมฝีปากที่ประกบลงมาในวันที่โลกของข้ากลับคืนสู่สีเทานั้นนั้น..ข้ากลับไม่เข้าใจมันเสียเลย


"ขอโทษค่ะ แต่ว่าฉันน่ะไม่ได้คิดว่าคุณเป็นแค่รุ่นพี่หรอกนะคะ..."


สิ่งที่เจ้าพูด กับการกระทำของเจ้า ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถให้กับตอบที่ดีกับเจ้าได้เลย เดอ เบอค์มองท์

....



6.


ตั้งแต่เกิดมาคนเราทุกคนจะมีกระถางอยู่หนึ่งใบ

และในกระถางทุกต้นนั้นมีเมล็ดอยู่หนึ่งเมล็ด ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น จะมีแค่หนึ่งเท่านั้น แต่ก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เรื่อยๆ


ข้าเองก็มีกระถางนั้น...แต่ไม่รู้ทำไม ไม่ว่าจะพยายามซักเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรงอกขึ้นมาจากดิน ทั้งที่คนรอบตัวของข้าเริ่มมีต้นอ่อนแตกหน่อออกผลกันขึ้นมากันแล้ว

คนแรกที่ข้าได้พบ...คงเป็นแบนเดอราส ต้นอ่อนของเขาผุดขึ้นจากกระถางตั้งแต่ปีหนึ่งหลังพบกับเชอร์ริค และในตอนนี้มันก็สูงขึ้นเลยหัวของพวกเราไปเสียแล้ว

ส่วนซีก.. ต้นอ่อนของเขางอกขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน ถึงมันจะเชื่องช้าแต่มันก็มีใบงอกขึ้นงดงาม แต่ในตอนนี้ดูเหมือนมันจะหยุดเติบโต ดอกไม้ของมันร่วยโรย แต่ลำต้นกับยังคงกล้าแข็ง..น่าประหลาดใจ

ในขณะที่ลีโอนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะน่าขำ กระถางของเธอก็ยังวางอยู่ตรงนั้น ที่แตกต่างออกไปคือมีใครซักคนวางเมล็ดพันธุ์ใส่ห่อกระดาษทิ้งไว้เคียงข้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่านางจะตอบรับ หรือเลือกที่จะปล่อยมันทิ้งเอาไว้หรือไม่ก็เท่านั้น แต่หากเมล็ดพันธุ์มันยังเติบโตของมันเองได้ ข้าคิดว่ากว่านางจะรู้ตัว เถ้าไม้นั้นอาจจะรัดกระถางนางไว้แน่นจนยากจะแยกออก

คนทุกคนต่างก็มีกระถางของตนเอง ขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง ออกดอกบ้าง ไม่ออกดอกบ้าง ต่างคนต่างเรื่องราวแตกต่างกันไป


และนี่ก็ผ่านมาถึงปีที่สี่แล้ว...ที่กระถางของข้ายังคงว่างเปล่า

แม้แต่ เดอ เบอร์มองท์เองก็มีต้นไม้ที่งดงาม แม้ต้นจะไม่สูงใหญ่ แต่ดอกไม้นั้นก็เป็นสีชมพูหวาน...

มันทำให้ข้าสงสัย...ว่าทำไม...ทำไมกัน

สุดท้ายข้าจึงได้เที่ยวไล่ถามใครต่อใคร ถึงความหมายของเมล็ดพันธุ์นั้น...ว่าแตกต่างจากกันและกันอย่างไร



7.


"สำหรับพวกเจ้าแล้ว 'ความรัก' คืออะไร?"



-Ciar Milford-

"ความรักคืออะไร?" มิลฟอร์ด(คีอา)เลิกคิ้วสูงกับคำถามแปลกประหลาด ราวกับว่าเป็นคำถามที่เขาไม่คิดว่าข้าจะถาม "นั่นสินะ..?" เขาหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือทาบคางครุ่นคิด "บางที...คงหมายถึงความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะอธิบายก็ได้"

มิลฟอร์ดเป็นคนแรกที่ข้าพบ คำตอบของเขาบอกข้าว่าตัวเขาอาจจะยังคงไม่รู้ แต่มันก็ใช่ที่มันยากจะอธิบาย เพราะคำตอบนั้นมีหลากหลาย แตกต่างกันไปทั้งจากคนและนิยาม แต่เพราะมันอธิบายยากจนเกินไป...บางทีทั้งข้าและเขา ก็อาจจะยังไม่เข้าใจมันในเร็วๆนี้..



-Radley Cherick-

ข้าถามเชอร์ริคเป็นรายต่อมา เขาหลุบสายตา "นั่นเป็นสิ่งที่นายควรไปถามหาจากคนอื่น ออริออน" เขาเว้นช่วงไป ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของข้าหลังคิดอยู่ซักพัก รอยยิ้มนั้นบางเบา "สำหรับข้า ความรักคือการที่ไม่มีใครหลอกลวงใครน่ะ"

การไม่หลอกลวงใครอย่างนั้นเหรอ...น่าประหลาดใจ แต่หากลองคิดดูแล้ว โจรอย่างเชอร์ริคเองก็อาจจะเหนื่อยอ่อนกับการลวงหลอกแล้วกระมั้ง

แต่ถ้าหากโลกใบนี้ไร้คำลวงพวกนั้น คนเราก็จะรักกันได้มากกว่านี้จริงๆน่ะเหรอ?


-Crosette Geins-

"...ความรู้สึกที่...ใช้เป็นประโยชน์ได้ในบางครั้ง" เกนส์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ตาของเขาปิดสนิท

ความรู้สึกที่ใช้ประโยชน์ได้ ก็หมายถึงการหลอกใช้ หรือหมายถึงการสนองตนเองรึเปล่า.. ข้าไม่เข้าใจความหมายของรักเท่าไหร่นักก็จริงอยู่ แต่เจ้าเองก็เหมือนกับ 'พวกนั้น' สินะ

สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ก็จงใช้...เหมือนกับการยืมมือของใครซักคน ใช้คำหวาน ใช้ความสามารถที่มี แล้วตวัดบ่วงนั้นรัดคอคนเหล่านั้น กระชากลงไปในวังวนของตน

ข้าเข้าใจละ เมล็ดพันธุ์ของเจ้าเอง....ก็เป็นสีดำเช่นนั้นสินะ..



-Ymir S. Lichtenberg-

ลิชเตนเบิร์กยิ้มน้อยๆกับคำถาม เขาส่ายหน้า "..ความรักไม่มีอยู่จริง มีก็แต่การครอบครอง"

หากความรักนั้นไร้ซึ่งตัวตนเพราะผู้คนสร้างมันให้มี หากการครอบครองคือบทบาทหนึ่งของความรู้สึก

หากเป็นเช่นนั้น..คนเราทุกคนต่างก็ต้องถูกกักขังอยู่ในกรงขังที่แปะป้ายสวยหรูว่ารัก และทาสีอ่อนหวานให้ผู้คนลุ่มหลวงมัวเมา.. เป็นเจ้าของ และถูกครอบครอง ถูกกักขัง

มันจะต่างอะไรจากนักโทษที่รอวันถูกประหารกันละ



-Zephyr Cerenite-

"สำหรับฉัน ความรัก...คือความรู้สึกหนึ่งที่ทำให้ทั้งมีความสุขและเจ็บปวดไปพร้อมกัน" เซเรนิธยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเหม่อมองไปแสนไกล ".....อีกทั้ง...สิ่งนั้นที่เรามอบความรักให้ มันไม่จำเป็นต้องครอบครองหรอกนะ..." เขาหลุบตาลง

ความรักของเจ้าต่างจากที่ข้าได้ยินมาจากลิชเตนเบิร์ก ความรักที่ไม่ได้ครอบครองใครเอาไว้แต่กลับทำให้หัวใจเจ็บปวดได้อย่างนั้นเหรอ..

ถ้าเช่นนั้น...มันก็เหมือนสายโซ่ที่ผูกรัดหัวใจเอาไว้ ให้มันแน่นขึ้นแน่นขึ้นทุกทีแทนที่การจับมันใส่ไว้ในกรงอย่างนั้นใช่ไหม



-Michael Luminathea-

คนต่อมาที่ตอบคำถามของข้าคือลูมินาเธีย เขากล่าวเนิบช้าด้วยรอยยิ้มที่มักวาดอยู่บนดวงหน้าของเขา "ความรักสำหรับผมหมายถึงความปรารถนาดี  อยากให้มีความสุขเสมอ  อยู่ใกล้ ๆก็รู้สึกวางใจ  แม้อยู่ไกลก็ยังคงผูกพันธ์  มันไม่จำกัดเพียงความรักระหว่างชายหญิง  แต่รวมไปถึงมิตรภาพและครอบครัวด้วยครับ"

ความรักของลูมินาเธียถูกหว่านกว้างเหมือนกับแห มันครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างใต้ แต่ไม่ได้มัดรวบไว้แล้วดึงขึ้นมา ความรักของเขาแตกต่างจากคนอื่น...มันช่างดูบริสุทธิ์เหลือเกิน

เป็นคนที่..ดีจังเลยนะ..



-Aramis Night-

อรามิสหัวเราะ "เรื่องนั้น...ฉันยังตอบนายไม่ได้เหมือนกัน" แล้วเขาก็ลูบหัวข้าด้วยรอยยิ้มแบบนั้นของเขา

เจ้าไม่เข้าใจ...ข้าเองก็เช่นกัน แต่เจ้าคิดว่าซักวัน พวกเราจะเข้าใจมันได้ในซักวันรึเปล่า



-Arkard Banderas-

แบนเดอราสเกาแก้ม เขาดูไม่มั่นใจนักที่จะตอบคำถาม อาจจะกระทันหันจนเกินไป แต่ข้าก็แปลกใจที่เขาใช้เวลาตอบนานกว่าที่ข้าคิดไว้พอตัว

"คงเป็น....ความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากเห็นหน้าทุกวัน อยากเห็นรอยยิ้ม อยากให้เขามีความสุข...ล่ะมั้ง?"

คำตอบนั้นเรียบง่าย ไม่หวือหวา มันทำให้ข้าคิดถึงงานแต่งของพี่ชายและพี่สะใภ้ เรียบเหมือนกับชายกระโปรง



-Bianca Lemony Leo-

“ความรัก... ความรักคือการให้ความสำคัญกับอีกคนหรืออีกสิ่งจนหมดใจล่ะมั้ง...” ลีโอ(เบียงก้า)ช้อนตานึก “รักหมดใจ... ใจหมดรัก... คนโง่เป็นอย่างแรก คนฉลาดเป็นอย่างที่สอง... แต่เราเชื่อว่าคนโง่มีมากกว่าคนฉลาด...” นางเอียงคอยิ้มบาง “แล้วอันที่จริง... สำหรับเรา เป็นคนโง่ก็ไม่แย่นะ เวลาไม่อยู่แล้วจะได้มีคนคิดถึงยังไงล่ะ..."

คนโง่ คนฉลาด สองสิ่งแตกต่าง สองสิ่งคล้ายคลึง.. พวกเขามีรัก พวกเขารัวรู้ถึงรัก ก็ต่างแค่ว่าใครจะถลำลึกจนขึ้นไม่ได้ กับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมลงไปตั้งแต่ต้น

ฟังดูแล้วก็คล้ายการพนัน หากไม่เสี่ยงลงทุนก็จะไม่สูญเสียแต่ก็จะไม่ได้รับสิ่งใด...หากลงทุนมากเกินไปก็จะสูญเสียหมดทุกสิ่ง

แล้วถ้าหากรู้จักมอบรักให้อย่างพอดี ไม่ใช่ทั้งคนโง่ หรือคนฉลาด...คนผู้นั้นควรจะถูกเรียกว่าอะไร?



-Hywel  Llewellyn-

เอลเวลลินลดหนังสือในมือก่อนที่จะตอบคำถาม "ความรักแล้วแต่ใครใคร่จะนิยาม สำหรับเราคงเป็นความปรารถนาจะดูแลใครหรือสิ่งใดนั้นตลอดไป"

อย่างเจ้า...คงหมายถึงเจมิไนหลัก แต่มันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้นกระมั้ง แต่การได้ดูแลตลอดไป..ฟังดูแล้วเหมือนกับอัศวินเลยนะเอลเวลลิน

ปกป้องและคุมครองจนกว่าชีวิตจะหาไม่.. ซื่อสัตย์และภักดีไปจนวันตาย

ความภาคภูมิใจในตัวของตัวเองของเจ้า มันชัดเจนจนแสบตาเลยละ



-Warrick Argyris-

อาร์กีริสหัวเราะ เขายิ้มจนตาปิด "ความรักก็คือความรัก ..ข้าไม่รู้หรอก มันคงเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายล่ะมั้ง?"

คำตอบนั้นควรจะแปลกใจข้า แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่ามันแปลก อาร์กีริสไม่รู้คำตอบนั้น อาจจะเพราะตรงไปตรงมาเกินไป หรือเพราะความรู้สึกพวกนั้นมันวกวนเกินไป...บางทีอาจจะเช่นนั้น

แต่ข้าก็อยากจะรู้ในวันที่เจ้าได้คำตอบนั้นมาเช่นกันนะ



-Elroy de Fitzroy-

เดอ ฟิตซ์ครอยนิ่งคิดไปชั่วครู่ "รักคือสิ่งที่มองไม่เห็น มีเพียงใจที่รับรู้"

แล้วถ้าใจไม่อาจจะรับรู้ได้... เราก็จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรักเช่นนั้นเหรอ หรือจะต้องรอจนกว่าใจจะสัมผัสได้

แล้วถ้าวันนั้นไม่มาถึง ก็จะไม่สามารถรับรู้มันได้เลยใช่ไหม



-Alain Delvan-

"ความรักคือสิ่งที่ทำให้เจ้าให้ความสำคัญกับความสุขของคนอื่นมากกว่าตัวเจ้าเอง ฟังดูโง่ๆนะว่าไหม" เดลเวนหัวเราะเบาๆ "แต่รู้ไหม สิ่งที่แปลกคือ เจ้าจะมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น"

มันก็ไม่โง่หรอก..เพราะนั้นเป็นความรักในแบบของเจ้า แต่ตัวข้ายังคงไม่ค่อยเข้าใตเท่าไหร่สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก

..การทำให้คนอื่นมีความสุข...แล้วจะมีความสุขตามไปด้วยได้อย่างนั้นน่ะเหรอ...จะได้จริงๆน่ะเหรอ..



-Heamus Sieg-

"ข้ารักแกรนด์ไลน์ รักครอบครัว รักตัวเอง" ซีกว่าเนิบๆ "ข้าบอกไม่ได้ว่ามันหมายถึงอะไร และเป็นยังไง แต่ทุกสิ่งที่ข้ารัก ข้าจะมอบชีวิตของข้า เพื่อปกป้อง เพื่อดูแล เพื่อไม่ให้โดนทำลาย" อธิบายช้าๆ "เพราะแบบนั้นถ้าจะถามข้าว่าความรักคืออะไร มันก็คงเป็น ความหนัก ความรับผิดชอบ ที่ต้องแบกขึ้นบ่าล่ะมั้ง"

ความหนัก ความรับผิดชอบ...หน้าที่ สิ่งที่ต้องทำ...

ปกป้อง ดูแล ไม่ให้โดนทำลาย...ช่างแต่ต่างกับตัวข้านัก



-Alexia Esfir-

"ความรักก็คือความรักสิคะ" เอสเฟอร์ยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง และไม่มีคำอื่นใดตามต่อมา..

สำหรับนักบวชแห่งกิลดิเรก บางที..หากไม่รักแค่สิ่งหนึ่ง ก็คงจะเป็นการรักไปซึ่งทุกสิ่ง...มันจะเหมือนความรักของลูมินาเธียรึเปล่านะ..รักไปซึ่งทุกสิ่ง แบ่งบันไปให้ทุกอย่าง แล้วมันจะเหมือนของเดลเวนรึเปล่า ที่หากได้เห็นผู้อื่นมีความสุข ตนก็จะมีความสุขตามไปด้วย

ภายใต้รอยยิ้มของเจ้า..ถ้าซักวันค้นพบความหมายลึกกว่านั้นได้ ความรักของเจ้าจะเป็นสีอะไร

มันจะงดงามได้เหมือนรอยยิ้มนั่นไหมเอสเฟอร์


แต่แต่ละคนต่างก็มีความรักในรูปแบบที่ต่างกันออกไป บางคนคล้ายคลึง บางคนต่างก็ตรงข้าม บางคนก็ยังหาไม่พบ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ผิด สิ่งใดที่ถูก

คำตอบของทุกคนมีค่าในแบบของตนเองกันทั้งนั้น...ต่างจากตัวของข้าที่ไล่ตามหาความหมายนั้น แต่คงไม่มีวันที่จะได้พบเจอ



8.


เพราะอย่างนั้น...ในวันหนึ่ง ข้าจึงได้เทกระถางของตนเองออกดู มองเศษดินที่กระจัดกระจาย....


ทันใดนั้นข้าถึงได้รู้และเข้าใจ

กระถางของข้าต่างจากเชสที่ดูแลมันอย่างดี และต่างจากไวล์ลีที่ถือกรรไกรรอตัดดอกไม้ตูมของตนเองทิ้ง

...กระถางของข้า..มันไม่มีเมล็ดใดๆมาตั้งแต่ต้นแล้ว

แม้จะไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่มันมีเพียงดินที่อัดแน่นและแห้งหยาบ..ข้าเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน สิ่งที่ข้าจำได้มีเพียงว่าตัวข้าเป็นคนเอามันออกไปเอง... ทิ้งมันไปเอง

เพราะอย่างนั้นการที่มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะแปลกใจใดๆเลย

เพราะความจริงแล้วข้าเองก็ยังคงหวาดกลัวกับสิ่งที่จะตามมาอยู่ดี



9.

"แล้วความรักสำหรับเจ้าคืออะไรละ"

รอยยิ้มของ เดอ เบอร์มองท์ หมองลงไปเมื่อข้าถาม นางใช้เวลาไม่นานนักในการตอบคำถามนั้น "ความรัก....ฉันก็ไม่รู้ความหมายจริงๆ ของมันเหมือนกันค่ะ"

"แต่สำหรับฉันตอนนี้....ความรักคือการทำให้คนที่ฉันชอบมีความสุข...ล่ะนะคะ"

ข้านิ่งเงียบและรับฟัง

ความรักสำหรับนางในตอนนี้สะอาดบริสุทธิ์..เรียบง่ายไม่หวือหวา

แต่ว่าข้า...


"ขอบคุณสำหรับคำตอบของเจ้า"



10.

"ข้าขอโทษ ที่ไม่อาจเป็นมากกว่ารุ่นพี่ให้เจ้าได้"



[ToB] [O] event 1.4 : Gray


"Don't Leave Me Behind"


2.

แล้วหากกล่าวถึงสีเทาล่ะเจ้าจะคิดว่าอะไร สำหรับข้ามันก็คงเป็นความเศร้า การจากลา และความสูญเสีย

เป็นสีของเรือนผม และสีของดวงตาของตัวข้า

เป็นสีของแท่นหิน....ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน


เป็นสีของเสียงร่ำไห้ให้กับกับผู้ที่จากไป

...


ข้าเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการถูกสั่งสอนถึงชีวิตและความตาย พี่ชายที่เบี้ยวบิดหมุนให้ข้าบิดเบี้ยวไปกับนิทานก่อนนอน ไปกับประวัติมากมายของผู้ร้ายที่เขาหยิบมาจากห้องของท่านพ่อ ไวล์ลีบอกข้าเสมอว่าโลกใบนี้ผู้คนถูกแบ่งไว้หลายแบบ แต่ในหัวใจของคนเหล่านั้นก็มีความดำมืดถูกฝังอยู่ในตัว เหมือนกับไข่ของแมลงร้ายที่รอวันฟักออกมาเป็นตัว

พวกมันจะออกมาลืมตาดูโลกด้วยการหล่อเลี้ยงของความรัก โลภ และหลงที่มากเกินไป ความโกรธนั้นเป็นเหมือนเชื้อไฟที่เร่งให้มันแหวกตัวออกมาจากผิวหนังนันไวขึ้น

มันจะเปลี่ยนให้หัวใจสีแดงกลายเป็นสีดำ เป็นให้ความงดงามกลายเป็นความหม่องหม่น

ไวล์ลีบอกข้าว่า...พวกเรามีหน้าที่ทำลายสิ่งเหล่านั้น ด้วยหน้าที่ ด้วยคำสั่ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ก่อนที่พวกเราจะเกิด

ไวล์ลีบอกข้าว่าเพื่อนนั้นไม่จำเป็น มนุษย์ทุกคนนั้นไม่ต่างกัน และตัวข้าเองก็คือมนุษย์...หากวันใดเมล็ดพันธุ์ของข้ากลายเป็นสีดำสนิท.. ข้าเองก็จะถูกกำจัดเช่นกัน นี่คือนิทานก่อนนอนของไวล์ลีที่คอยขับกล่อมข้าทุกคืน ด้วยความกลัวแบบเด็กๆ ข้าจึงได้โยนเมล็ดพันธุ์นั้นทิ้งไป

ข้าเคยคิดว่าข้าไม่ต้องการใครอีก ตราบเท่าที่ยังมีพี่ๆ ยังมีหนังสือมากมาย....ยังมีงานที่ต้องทำ

แต่สุดท้ายข้าก็สร้างตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่ง เพราะข้าทนต่อความเหงาของตัวเองไม่ได้ และเพราะว่าข้าได้พบ...กับอะไรบางอย่าง กับใครซักคน มันอาจจะเป็นความฝันหรือความจริง แต่ภาพแผ่นหลังของใครซักคนที่จับมือพาข้าวิ่งไปด้วยกันเมื่อสมัยเด็กนั้นมันช่าง...


...หากไวล์ลีบอกว่าข้าไม่สมควรคบเพื่อนที่เป็นมนุษย์ ถ้าอย่างนั้นหากเป็นตุ๊กตา...ก็คงไม่เป็นอะไร




'ทำไมต้องคุยกันแต่เรื่องน่าเศร้าด้วย'


'ถ้าไม่มีความสุข ก็ทำให้มีความสุขสิ!'



'ถ้าไม่มีความสุขจะเสียใจ แบบนั้นมันไม่ดี เค้าอยากให้ทั้งออริออนกับทั้งเบียงก้ามีความสุขนะ'



'เพราะว่าเป็นเพื่อนของเค้านี่นา'



'สิ่งสำคัญต้องรักษาไว้นะ'



'เอ๋.. เค้าก็มีหน้าที่ด้วยเหรอ แต่แบบนั้นฟังดูน่าเศร้าจัง งั้นถ้าวันไหนเค้าทำให้คนมีความสุขไม่ได้เค้าก็จะหายไปเหรอ?'



'อย่าเหงานะอย่าเหงา ถ้าเหงาจะรู้สึกเสียใจ มันไม่ดีนะคีอา ไม่ดี'



'อรามิส ออริออนปาเค้าอีกแล้ว!'



'เค้ารักตัวเองจังเลยยย ไม่เหมือนออริออน ใจร้าย ชอบทำร้ายเค้า'



'ออกเตเวียเหรอ ตัวเองชื่อน่ารักจัง มีแผลที่หน้าด้วย ไม่เจ็บแล้วนะ ไม่เจ็บแล้วนะ' 



'เค้าชื่อแร็กกี้นะ ส่วนนี่คือออริออน แล้วตัวเองละชื่ออะไร'



'นกตัวนั้นสีสวยจัง ออริออนเคยบอกว่านกน่ะบินได้สูงมากๆ ลิเลียนคิดว่ามันจะบินได้สูงขนาดไหนเหรอ'



'ออริออนรังแกเค้า ใจร้ายที่สุดเลยยย'




'เค้าน่ะ รักออริออนที่สุดในโลกเลย ถึงเค้าจะไม่รู้ว่าโลกมันกว้างขนาดไหนก็เถอะ แต่เค้าเชื่อว่าโลกมันจะกว้างมากๆเลยละ นั่นคือความรักที่เค้ามีให้ออริออนไงละ'



'ไม่เหงาแล้วนะออริออน เค้าอยู่ตรงนี้ไงละ จะอยู่ด้วยเสมอเลยนะ'



'ขอบคุณนะ ออริออน'



'ออริออน'



'ออริออน'


'...เค้ากลัว...'


'ออริออน...เค้าไม่อยากจะหายไป'



'เค้ากำลังจะตายเหรอ เค้ากำลังจะหายไปเหรอ'

'ออริออนอย่าเสียใจนะ อย่าเสียใจนะ'



'รัก เค้ารักออริออนที่สุด'




'มีความสุขมากๆนะออริออน'







เพื่อน....ช่างแสนโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือตุ๊กตา

สุดท้ายแล้วก็ทำให้ข้าเจ็บปวดหัวใจได้ทุกที



3.

...


และสุดท้ายข้าก็ร้องไห้..

ข้าร้องไห้เหมือนกับเด็กๆ...

...ได้โปรดอย่าไป ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้...

...ข้ายังไม่พร้อมที่จะไปต่อเพียงลำพัง...


เจ้าตุ๊กตา..

ข้ามีเจ้าเป็นแสงสว่างของข้า ถึงจะเป็นเพียงแสงเล็กๆไม่ต่างอะไรจากหิ่งห้อย แต่ข้าก็มีเจ้าเป็นเพื่อนของข้ามาเสมอ ทั้งในยามทุกข์ ทั้งในยามสุข เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ไม่เคยทอดทิ้งข้าไปไหน เจ้าให้กำลังใจข้า และทำตัวน่ารำคาญอยู่เสมอ

แต่ในวันนี้ข้างกายข้าไม่มีเจ้าอีกแล้ว

ตุ๊กตา เจ้าตุ๊กตา

พวกเราเคยสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ข้าจะมีเพื่อนใหม่และหลงลืมเจ้าเป็นบางครั้ง ถึงแม้ตัวของข้าจะโตขึ้นกว่าในตอนนั้น ถึงแม้ข้าจะไม่คิดว่าจะรักตัวเจ้าเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่เจ้าก็ยังเป็นเพื่อนของข้า เป็นคนที่อยู่กับข้าในวันที่ข้าเสียใจ

และเจ้าก็จากข้าไป

แล้วเจ้าก็ทิ้งข้าไว้

ในโลกที่ซักวันข้าจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ข้าไม่อาจจะก้าวต่อไปโดยทิ้งตัวตนส่วนอื่นของข้าไว้ได้

ในโลกที่จินตนาการจะต้องพังทลาย ในโลกที่ความฝันอาจจะต้องจางหาย ในโลกที่ข้าจะต้องเติบโตขึ้นไป..เป็นผู้ใหญ่ซักคน

เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมความรู้สึกในวัยเด็กของข้าเข้ากับปัจจุบัน เจ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่คอยย้ำเตือนเสมอว่าข้าไม่สมควรจะทำสิ่งไหน ไม่สมควรจะทำตัวแบบใด

เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่เรียกให้ผู้คนมาหา เรียกให้รอบข้างของข้าไม่เงียบเหงา


แต่วันนี้เจ้าจากข้าไปแล้ว ไปสู่โลกที่ข้าไม่สามารถจะไปถึง ไปสู่เส้นทางที่ข้าไม่อาจจะย้อนกลับ..

เจ้าเป็นของของอดีต เป็นสิ่งของในโลกของเด็ก ในขณะที่ข้ากำลังเดินไปสู่เส้นทางของผู้ใหญ่ เส้นทางที่เริ่มแคบลงและแข็งกระด้าง

ข้าเสียเจ้าไป

เจ้าทิ้งข้าไว้

ด้วยคำพูดแสนร่าเริง ด้วยรอยยิ้มที่ถูกร้อยด้วยเส้นด้าย

'พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะออริออน เค้าให้สัญญา'


ทำไมเจ้าถึงได้โหดร้าย...กับข้าได้ถึงขนาดนี้กันนะเจ้าตุ๊กตา

ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้าย...กับข้าได้ถึงขนาดนี้กัน...




[ToB] [O] event 1.4 : White



 "The Sound of Silence"


0.

หากพูดถึงสีขาว แต่ละคนจะนึกถึงอะไร

สำหรับข้า มันก็คงเหมือนกับสีของน้ำนมในแก้ว และสีของเมฆบนฟ้า

สีของหิมะที่ข้าไม่เคยเห็น และดอกไม้ขาวที่เบ่งบานตอบรับความรักของคนสองคน... เป็นสักขีพยานของความรักของชายหญิง ของพี่ชาย ของพี่สะใภ้


นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นถึงความรักที่ถูกกลั่นออกมาจากคำเลื่อนลอยที่ใครต่อใครมักพูดถึง กลั่นออกมาจนเป็นรูปเป็นร่าง ผ่านทางแววตาที่พวกเขามองสบตาซึ่งกันและกัน


ความรักสีขาว..สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า

ราวกับสีของหิมะขาวในหนังสือนิทานที่ข้าเคยอ่านพบ

ความรักที่ร่วงหล่น มันผลิบานบนผืนดิน แตกหน่อและออกผล งดงามจนยากที่จะบรรยาย


..นี่เหรอคือสิ่งที่เรียกว่าความรัก..?


ข้ามองภาพนั้นแล้วเอ่ยถามตัวเอง เพราะข้าไม่เคยรู้จักรักในแง่ของหนุ่มสาวแบบนั้นนอกจากความสัมพันธ์ของครอบครัว ถึงแม้พี่ชายจะบอกข้าว่ามันก็คือก้าวหนึ่งของการพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปแต่ข้ากลับคิดว่ามันนั้นแตกต่างอยู่ดี

อาจจะเพราะข้าไม่เคยเห็นพี่ของข้ายิ้มกว้างแบบนั้น

ข้าไม่เคยเห็นเขามองใครด้วยสายตาที่อ่อนโยนถึงขนาดนั้น

ข้าไม่เคยเห็นเขาโอบกอดใครไว้ในอ้อมแขน...อย่างเบามือเหมือนที่พี่ทำกับนาง


และอาจจะเพราะท่านพ่อไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับท่านแม่เลยแม้แต่อย่างเดียว ข้าจึงเพิ่งเคยได้พบว่าการรักใครซักคนมากเท่านั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ


แต่มันก็คือ "ความรัก"

...พี่บอกกับข้า

มันคือ "ความรู้สึก"

มันคือสิ่งที่ข้า...กำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่


แต่ภาพตรงหน้าในตอนนี้กลับดูอบอุ่นเหลือเกิน อบอุ่นเกินกว่าที่ข้าจะสรรหาคำไหนมาเปรียบเทียบ

จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกที่พองอยู่ในอก เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าด้วยลมร้อนแล้วปล่อยให้ละลอยล่องอยู่ในท้องก็คงได้

พลิ้วไหว ห่างไกล...แต่งดงาม ไม่หวือหวา

มันเรียบง่ายเหมือนกับสายลมที่พัดผ่านม่านในยามสาย และอุ่นสบายเหมือนแสงแดดในยามเช้า


เบื้องหน้าของข้าในตอนนี้ ท่านพี่และพี่สะใภ้สัมผัสฝ่ามือของกันและกัน พวกเขาเกี่ยวปลายนิ้วเชื่องช้าก่อนจะจับประสานไว้ราวกับคำสาบานที่ไร้เสียง ริมฝีปากของท่านพี่สัมผัสหน้าผากของนางแผ่วเบา และยิ้มให้แก่กัน

ท่ามกลางความเงียบของผู้คน แขกเหรื่อเริ่มก้าวถอยหลัง เว้นช่องว่างตรงกลางเป็นลานโล่งทรงกลมให้คู่บ่าวสาวได้โดดเด่นออกมา ก่อนที่บทเพลงผะแผ่วจะถูกบรรเลงจากกอดีตกลุ่มนักเรียนโรงเรียนพระราชาไม่กี่คนที่พี่แนะนำว่านั่นคือ "เพื่อน" ของพี่ "เพื่อน" ที่แสนสำคัญ

บนเพลงและคำร้องที่ไม่คุ้นเคยดังสะท้อนไปตามแผ่นหินและความเงียบ ก่อนก่อนเป็นเสียงดนตรีที่ช่างแสนไพเราะ


รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ...

และ...พวกเขาที่เริ่มหมุนตัวเข้าหากัน

พี่สะใภ้จับชายกระโปรงนางด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่พี่ชายใช้มืออีกข้างของตนไพร่หลัง ก้าว...ก้าว... ถอย ด้วยมือข้างนั้นที่ไม่ปล่อยออกจากกัน มีแต่จับประสานแน่นขึ้นไป


ความรักของชายหญิง

ความรักของท่านพี่และตัวนาง

ความรักของชายเพชฌฆาตกับนางผู้เฝ้าสุสาน

ช่างฟังดูพิลึกพิลั่นเหมือนกับผู้คนรอบข้าง ไม่สมประกอบซักเท่าไหร่ แต่ก็มีความงดงามในตัวของมันเอง และหากจะกล่าวว่ามันเป็นภาพที่ติดตรึงแค่ไหน ก็คงต้องตอบว่ามันติดตรึงจนรู้สึกประหลาดใจ

และนั่นคือสีขาวที่ข้าได้รู้จักเพิ่มขึ้นมา

สีขาวของความบริสุทธิ์ที่แม้แต่มือของผู้ที่แปดเปื้อนไปด้วยมลทินยังสามารถสวมใส่ได้โดยไม่ทำให้มันเปรอะเปื้อนสิ่งใด



....


Friday, November 6, 2015

[Touken Ranbu Fic] เสียงเพรียกแห่งกาลเวลา : Intro

Title: เสียงเพรียกแห่งกาลเวลา
Author:
 Movivin
Date: 14/1/58
Warning: ---
Notes: ฟิค(ยาว)จากเกมดาบ Touken Ranbu ครับผม หากมีคำผิด/ข้อผิดพลาด/ข้ามูลผิดพลาดประการใดก็ช่วยชี้แนะกันด้วยนะครับ


+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


Ch.00 : Intro


"ได้โปรดช่วยโลกใบนี้ด้วย ประวัติศาสตร์กำลังจะถูกบิดเบือน มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่เป็นสายเลือดทางตรงคนสุดท้ายของผู้ที่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งสิ่งต่างๆให้มีชีวิตขึ้นมา"

"ได้โปรดช่วยด้วย..หากไม่เช่นนั้นแล้วโลกใบนี้ก็จะ...."


  คอนโนสุเกะจำได้ดีว่าตัวมันได้วอนขอเช่นนี้ผ่านกาลเวลาและความฝันถึงผู้สืบสายเลือดสุดท้ายแห่งซานิวะมาตลอด แต่คำตอบรับก็ไม่เคยมีกลับมา ราวกับว่าเกราะกำบังที่เรียกว่ายุคสมัยจะตัดแบ่งตำนานและคำกล่าวขานให้ขาดออกจากเทคโนโลยีและความก้าวหน้า ตัดแบ่งความเชื่อออกจากวิทยาศาสตร์ ตัดแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างให้ขาดสะบั้นออกจากกัน


  "ได้โปรด หากไม่ทำเช่นนั้น.. หากไม่ทำเช่นนั้นละก็.."


  รุ่นต่อรุ่น มันวอนขอ ร้องขอ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดสดับฟัง มนุษย์สองขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไวราวก้าวกระโดดได้พบเจอสิ่งที่มากมายกว่าที่เหล่าคนบนฟ้าและใต้พิภพจะทันได้คาดคิด ผ่านทั้งทุกข์ ผ่านทั้งสุข  การเกิดและตาย กระทั่งสงครามการสูญเสีย ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่ ลบทิ้งไปและกู้กลับคืนอีกครั้ง ประเทศที่ถูกปิดไว้ในกรงเหล็กได้ถูกไขกุญแจเปิดให้พบโลกที่กว้างกว่าที่พวกเขาเคยประสบ ให้พบกับความเจริญที่ผลักดันพวกเขาให้หลุดออกจากอ้อมอกของเหล่าเทพและเทพี

  และนั่นก็ยิ่งทำให้ความเชื่อลึกๆในหัวใจก็จางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นทะเลที่ซึมซัดผ่านปราสาททราย มนุษย์มีเพียงมนุษย์ และโลกในนี้มีแค่หนึ่งไม่ใช่สาม


  คอนโนสุเกะยังคงจำได้ดีถึงสมัยที่มนุษย์ยังเคารพในเทพเจ้า วันที่ปีศาจยังเดินขวักไขว่อยู่ในตัวเมือง วันที่มนุษย์ต่างหวาดกลัวต่อทุกสิ่ง และวันที่พวกเขาเริ่มต้นจับอาวุธเข้าปกป้องสิ่งสำคัญ

  ภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่เหมือนความฝัน มันเลือนลาง เจือจางเหมือนน้ำหมึกที่ถูกหยดลงในอ่างน้ำ


  แต่ในเวลานี้ -- ยุคสมัยนี้ -- เทพเจ้านั้นได้เบือนหน้าจากไปแล้ว เหล่าภูตพรายก็อ่อนพลังลงไปมาก แม้แต่บรรดาปีศาจต่างก็ต้องเร้นกายหลบซ่อนตัวอยู่ตามเงามืดของซอกตึก พวกมันมีชีวิตและคงตัวตนอยู่ได้ด้วยความเชื่อ ถึงบางจำพวกจะเกิดจากความบิดเบี้ยวของจิตใจ แต่หากผู้คนไม่เชื่อมั่น ตัวตนของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับควันบุหรี่ที่จางหายไปอย่างรวดเร็วในอากาศ

  หายไปไม่เว้นแม้แต่เงา

  ในสมัยนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่เชื่อว่าใต้บาดาลนั้นมีปราสาทของเทพมังกร ไม่มีใครเชื่ออีกแล้วถึงเทพีแห่งโชคลาภที่แฝงตัวอยู่ตามบ้านเรือน ผู้คนปล่อยมลภาวะทำลายแม่น้ำ ทำลายท้องฟ้าด้วยควันพิษ และทำลายสิ่งมากมายที่ธรรมชาติถือกำเนิดมาราวกับจนเป็นเทพเจ้าเสียเอง

  พวกเขาฆ่าภูตแห่งป่า ล่ามังกรแห่งสายฝน และสังหารแม้กระทั่งสัตว์เทพทั้งสี่ทิศ

  พวกเขาตัดคอกิเลน ด่าทอพระเจ้า บดขยี้อสูรร้าย เฉือนเนื้อพยัคฆ์ขาว และถอนขนวิหคเพลิง

  พวกเขาทิ้งศพของเต่าดำลงในแม่น้ำ และโยนมังกรฟ้าขึ้นเตาไฟ

  พวกเขากระทำ...ด้วยเพราะมองไม่เห็น เพราะไม่เชื่อมั่น

  ดวงตาพวกเขามืดบอด ถูกปิดบังไว้ด้วยหัวใจที่ถูกปิดตาย ตาที่สามและสัญชาตญาณถูกลบหายไปจนหมด

  จนแทบไม่เหลืออีกแล้ว ถึงสิ่งที่เทพเจ้าเคยรัก รักด้วยใจจริง จากก้นบึ้งของหัวใจ


  เพราะแบบนั้นเทพบางส่วนถึงได้ทนไม่ได้ พวกเขารับไม่ไหวอีกต่อไป แม้ว่าเอาตามความจริงแล้วจะไม่มีใครทนกับมันมานานแล้ว แต่พวกเขาเหล่านั้นก็เลือกที่จะหันหลังให้กับมัน

  พวกเขามองผ่านเกาะเล็กๆที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสร้างขึ้นมาโดยสองเทพผู้เป็นใหญ่ เทพอิซานางิและเทพธิดาอิซานามิ

  พวกเขามองผ่าน "โอโนะโกโระ" ที่ถือกำเนิดจากเศษโคลนที่หยดลงจากปลายหอกอาเมโนนุโฮโคะยามสองเทพและเทพีใช้หอกเล่มนั้นกวนน้ำทะเล

  พวกเขามองผ่านหมู่เกาะที่ครั้งนึงเหล่าเทพได้เอ่ยว่ามันคือหมู่เกาะอันสวยงามที่สุดเท่าที่พวกเขาจะรู้จักมา

  พวกเขามองผ่านสถานที่ที่ตนถือกำเนิด มองผ่านไปหมดทุกสิ่ง


  เพราะครั้งนึงมันเคยเป็นสิ่งที่พวกเขารักมาก มากยิ่งกว่าของล้ำค่าใดๆบนโลกทั้งสามมารวมกัน พวกเขาจึงเลือกจะมองผ่านมากกว่าจะกวาดล้างและทำลาย ปล่อยให้มันตายด้วยตัวของมัน ปล่อยให้มันถูกทำลายลงช้าๆจากน้ำมือของตัวมันเอง

  แต่ก็ใช่ว่าเทพทุกองค์จะคิดเช่นนั้น เทพบางส่วนทนไม่ได้ พวกเขารับไม่ได้ในสิ่งเหล่านี้ พวกเขารับไม่ได้ที่สิ่งที่เลี้ยงดูและเฝ้าฟูมฟักมาเป็นร้อยเป็นพันปีจะถูกลบทิ้งจากหัวใจของมนุษย์เหล่านั้นได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ พวกเขาเฝ้าฝันถึงอดีตที่ผ่านเลยไป พวกเขาเฝ้ารอจนรู้ว่าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยเหล่านั้นจะไม่มีวันเดินกลับมาหา จนในที่สุด ความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามา


  'หากเราไม่อาจทำให้โลกนี้กลับมาเหมือนเมื่ออดีตกาล แล้วเหตุใดเราถึงไม่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ แก้ไขให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็นเล่า?'


  หากกำจัดผู้ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงทิ้งเสีย

  หากกำจัดสิ่งที่จะทำให้ผู้คนปรับเปลี่ยนความเชื่อทิ้งเสีย

  หากบิดเบือนสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์เสียให้หมดแล้วละก็...

  หากทำเช่นนั้นแล้ว....

  อะไรจะเกิดขึ้นกันนะ?

  พวกเขาก็อาจจะเดินกลับมาหา มาเฝ้าวอนขอต่อเหล่าเทพเจ้าอีกครั้งก็เป็นได้


  และนั่นเองคือสิ่งคำที่ทำให้ความปั่นป่วนถือกำเนิด ทำให้สมดุลที่เคยเสมอนั้นเอียงกระเท่เร่จนเทพอีกส่วนหนึ่งทนกับความเอาแต่ใจนั้นไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีอำนาจพอจะแทรกแซงเกมที่ใช้ประเทศญี่ปุ่นเป็นกระดานหมากนี้ได้ -- หรือพูดให้ถูกคือ -- พวกเขาไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกแซงเกาะแห่งนั้นอีก แต่ก็ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ถูกเบือนบิดไปมากกว่านี้ด้วยเช่นกัน

  เพราะอย่างนั้นแล้ว "คอนโนสุเกะ" ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตุ๊กตาดินปั้นจึงถูกทำให้มีชีวิต "ตำหนัก" ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาให้สามารถเชื่อมต่อกับประตูแห่งกาลเวลาได้จึงถูกสร้างขึ้นตามมา

  เพื่อให้มนุษย์เป็นผู้ปกป้องมนุษย์ ปกป้องประวัติศาสตร์

  และเพื่อให้หมากอีกฟากของกระดานถูกจัดวางและเติมเต็ม

  เพื่อการนั้นแล้ว คอนโนสุเกะจึงต้องตามหาผู้ที่จะได้ยินเสียง ผู้ที่ยังคงมีพลัง ผู้ที่ครั้งหนึ่งนั้นเคยสืบสายเลือดของมิโกะที่ได้รับความสามารถจากสวรรค์ให้มารับหน้าที่นี้


  และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่เขาเฝ้าเรียกร้อง และรอคอย

  แต่ก็ไม่มีใครเลย...ที่ยื่นมือเข้าหามัน

  ไม่มีใครเลยที่ได้ยินเสียงอ้อนวอนจากเสี้ยวนึงของกาลเวลา

  ไม่มีใครเลย...


  "ได้โปรดเถอะ... หากอยากให้ประเทศนี้ยังคงอยู่แล้วล่ะก็..."

  "หากอยากให้คนที่พวกเจ้ารักยังคงอยู่แล้วละก็..."


  เสียงร้องเรียกนั้นแห้งแหบ

  ความหวังนั้นริบหรี่

  ลดถอยลง

  ถอยลงไปทุกที

  ทุกที









  'เรย์กะ เธอได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า'




  หูเล็กๆนั่นขยับไหว ในเวลาที่เกือบจะเรียกได้ว่าสิ้นแล้วซึ่งความหวัง

  เหมือนมีแสงสว่างเล็กๆถูกจุดขึ้นมาในความมืดมิด

  คอนโนะสุเกะเงยหน้ามองผ่านบานกระจก มองไปยังร่างทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าศาลเจ้า


  '..เอ๊ะ เรย์โตะก็ได้ยินเหรอคะ'

  'เธอก็ได้ยินเหรอ...'


  นี่แหละ...


  'ค่ะ เรย์กะก็ได้ยินเหมือนที่เรย์โตะได้ยินนั่นแหละค่ะ ร..หรือว่าจะเป็น....'

  'ผีไม่มีจริงหรอกนา แล้วตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่ด้วย รีบไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบไปสถานี ปล่อยให้คนอื่นรอมันไม่ดีเท่าไหร่'

  'ค่ะ งั้นไปกันเถอะค่ะ'


  นี่แหละ…!!


  ดวงตาของเจ้าจิ้งจอกเป็นประกายวาว มองมองร่างสองร่างที่ก้าวออกจากศาลเจ้าด้วยความหวังที่เปี่ยมล้น ถึงแม้สองคนนั้นจะได้ยินแค่เสียงแผ่วเบา แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงของมัน

  ผู้สืบทอดสายเลือดแห่งซานิวะรุ่นสุดท้าย...

  ในที่สุด ข้าก็พบกับพวกเจ้าแล้ว…







[TBC.]


+ + + + + + + + + + + + + + + 

เฮฮาสาระ: (ข้อมูลต่างๆ รวมถึงแหล่งที่มาจะถูกรวมอยู่ในนี้นะครับ)
https://docs.google.com/document/d/1p2u1jO5T-3u1JqixGrBS1yjpWPegrz2cGqcixcYf4YE/edit



Thursday, November 5, 2015

Test 01 : Begin



เสียงกระดิ่งลมปลุกคุณให้ลืมตาตื่นจากความฝันที่พร่าเลือนให้มาพบกับท้องฟ้าสีสดที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ปุยเมฆสีขาวลอยเอื่อยเชื่องช้าตามที่ถูกสายลมนำพาให้พัดไป

คุณกระพริบตา...

รู้สึกตื้อๆอยู่ในหัวเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นจากฝันดีนัก..


แล้วคุณก็เริ่มขยับตัว

ยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อพบว่าคุณไม่ได้นอนอยู่บนเตียงให้ห้องนอนที่คุณคุ้นเคย แต่กลับเป็นในบ่อน้ำที่แห้งขอด ผุพังและดูเก่าเสียจนเริ่มมีต้นหญ้าขึ้นประปราย เสียงของลมทะเลที่พัดผ่านร่องหินจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเหมือนจะช่วยย้ำเตือนให้คุณรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณรู้จัก ไม่ใช่ของคุณ


คุณเริ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ

รอบตัวนั้น...หากจะให้บรรยายในสายตาคุณ มันก็ดูเหมือนกับเมือง..


เป็นเมืองที่ถูกปูด้วยก้อนอิฐสีขาวที่ดูทรุดโทรมอย่างประหลาด แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งบนทางเท้า กำแพง กระทั่งบันไดก็ยังสามารถบอกคุณได้เป็นอย่างดีว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองที่ถูกทาด้วยสีขาวแทบทั้งเมือง อาจจะยกเว้นท้องฟ้าเบื้องบน กับสีสันบนประตูมากมายที่ดูราวกับว่ามันผุดอยู่ทุกเหมือนกับภาพวาดจากสีของพู่กัน

สีแดง ชมพู เหลือง ส้ม และอีกมากมายนั้นเหมือนสร้างจากวัสดุที่แตกต่างกัน บ้างอยู่บนฟ้า บ้างอยู่บนพื้น บ้างลอยอยู่บนอากาศ และบ้างก็ฝังตัวอยู่ในกำแพงด้วยขนาดที่หลากหลาย ตั้งแต่เล็กเพียงแค่ฝ่ามือ ไปจนถึงใหญ่ขนาดที่ทำให้คุณต้องแหงนหน้ามอง

ตอนนี้คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณอยู่ที่ไหน

ไม่มีอะไรที่คุ้นตาคุณเลยแม้แต่อย่างเดียว

กระทั่งกลิ่นเกลือจากทะเลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ยิ่งทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่ผิดแปลก...อะไรหลายอย่างที่แตกต่าง...ต่างมากจนคุณนับไม่ถูกว่ามีอะไรบ้าง หากจะให้สรุปย่อยแล้วก็อาจจะเรียกได้ว่าแทบทุกอย่าง

และนอกจากนกนางนวลที่บินผ่านหัว ร่อนลงมาเกาะตัวบนกำแพงแล้วเอียงคอมองคุณด้วยความใคร่รู้แล้ว คุณก็ไม่เห็นสิ่งใดอื่นอีกที่เรียกได้ว่าสิ่งมีชีวิต....นอกจากตัวเอง

และเมื่อมองเลยต่อไปอีกนิด คุณก็พบว่าทางเดินนั้นถูกแบ่งออกเป็นสี่เส้นทางหลัก และดูจะทอดตัวเลี้ยวหายไปจากสายตาราวกับเส้นทางของเขาวงกต

เส้นทางทางด้านทิศเหนือนั้นทอดตัวลาดขึ้นด้านบน มีหอคอยสีขาวประหลาดราวกับประภาคารที่ถูกบิดให้เป็นเกลียวอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในสายตา แน่นอนว่าประภาคารนั้นก็ยังคงถูกประทับไปด้วยประตูมากมายเหมือนกับเครื่องประดับที่พยายามจะดึงดูดสายตาของคุณ

ในขณะที่เส้นทางทางทิศใต้นั้นลาดยาวลงไปข้างล่าง ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางเดียวที่ทอดยาวไปจนเห็นหาดสีขาวสะอาดตา..และผืนน้ำสีฟ้าเขียวที่กว้างใหญ่


พอคุณขยับตัวลุกขึ้นยืนเพื่อให้เห็นทุกอย่างได้ถนัดตามากยิ่งขึ้น สายตาของคุณก็ไปปะทะกับกล่องไม้เก่าๆที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ที่ดูเก่าไม่แพ้กัน เมื่อคุณเดินเข้าไปใกล้ คุณถึงได้รู้ว่ามันเป็นกล่องที่ใช้ใส่กุญแจเปราะสนิม เหนือกล่องนั้นมีตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนไว้ด้วยพู่กันอย่างลวกๆ


[ You Can Only Pick One ]



เอาละ... ทีนี้.. คุณจะหยิบกุญแจขึ้นมาดีไหม
แล้วคุณคิดจะทำอะไรต่อไปกันละ?


  • เดินขึ้นทิศเหนือ ไปทางประภาคาร
  • เดินลงทิศใต้ ไปทะเล
  • เดินไปทางทิศตะวันออก
  • เดินไปทางทิศตะวันตก
  • เดินดูประตูรอบๆลานนั้นก่อนแล้วกัน



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +



จงอธิบายมาพอสังเขปในคอมเม้นด้านล่างเพื่อเลือกเส้นทาง จากนั้นจะมีการทำชีทแยกให้นะครับ


Monday, September 21, 2015

[T] Book.01 “เจ้าหญิงน้อย”

หนังสือ ชุดรวมเรื่องสั้น : “ความฝันสีชาด”
ตอนที่ 01 : “เจ้าหญิงน้อย”
ผู้แต่ง : อิสซาร์ (โทไบอัส เซปาร์)


หมายเหตุ : หนังสือเล่มนี้คือเล่มที่ 4 ของคนเขียน (อย่าถามว่าทำไมถึงมีแต่งแค่นี้), หาได้ตามร้านหนังสือและชั้นหนังสือบางแห่ง แต่อาจจะแอบๆมุมอยู่บ้าง หน้าปกไม่โดดเด่น มองข้ามไปเลยก็ได้---


-----------


..เด็กสาวเพียงเฝ้าใฝ่ฝัน ว่าซักวันเจ้าชายจะมา..


นางนั่งรอเจ้าชายจากหอคอยสูง


รอแล้วรอเล่า พร่ำเพ้อภาวนา


ว่าซักวันเจ้าชายจะมา


จะมาพานางไป

หอคอยสีขาวงาช้างงดงาม แต่หาใช่ที่คุมขังเจ้าหญิงไม่


นางต่างหากคือผู้สั่งสร้างเจ้าหอคอยกลางป่าลำเนาไพร


เพื่อเฝ้าร้องเพลงเรียกเจ้าชายจากแดนไกลที่ไม่เคยมา

เจ้าหญิงน้อยรอคอย รอแล้วรอเล่า แต่เจ้าชายก็ไม่ปรากฏตัว


ในเมื่อเจ้าชายของนางไม่โผล่มาเสียที


นางจึงออกคำสั่งให้ทหารออกตามหามังกรไฟ มาผู้ไว้ใต้ฐานหอคอย


หาใช่เพื่อไว้ใช้ปกป้องคุ้มครองนางไม่ แต่เพื่อให้เจ้าชายได้สังหารมันในซักวัน


...


"เจ้าชาย..เจ้าชายเจ้าขา ท่านอยู่หนใด
ตอนนี้มีแล้วทั้งมังกรไฟ หอคอย และเจ้าหญิง
เจ้าชาย เจ้าชายเจ้าขา...
ทำไมท่านถึงยังไม่มา
ไม่มารับข้าเสียที"


แน่นอนว่าความจริงไม่ใช่ความฝัน


เจ้าหญิงน้อยปิดตาไม่ยอมฟังคำพูดขององค์ราชาและราชีนี


นางรับสั่งให้ทรงจ้างแม่มดจ้าวมาตรา บังคับจับพวกเขาเหล่านั้นมามอบให้แก่นาง


“จงร่ายคาถา จงสร้างไม้หนาม
จงเสกให้คนทั้งวังนั้นหลับไหล


ทำตามข้าสิ จงทำตามบัญชา
สร้างมนตรานั้นขึ้นมาให้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง”


แต่แม่มดกล่าวปฏิเสธ นางมิอาจทำตามคำสั่งของเจ้าหญิง


ด้วยเพราะเรื่องนั้นช่างร้ายแรง และใช่ว่านางมีอำนาจพอที่จะสามารถทำ


“ลืมตาเถิด จงลืมตา
ท่านหญิงของข้าจงโปรดเข้าใจ
มนตราข้าหาใช่มีไว้เพื่อสร้างฝัน
และโลกใบนี้หาใช่นิทานเหล่านั้น


เจ้าหญิงน้อยของข้า ข้าไม่อาจทำตามนั้นได้จริงๆ”


แต่คำตอบของนางไม่อาจทำให้เจ้าหญิงทรงพอพระทัย


พระนางร่ำไห้และร่ำไห้


เหตุใดจึงทำตามคำสั่งของนางไม่ได้ทั้งที่นางเป็นถึงเจ้าหญิง


หากแม่มดตนนี้ทำไม่ได้ นางก็ไม่ต้องการเก็บไว้อีกต่อไป


"เอ้าทหาร จงจับนางแม่มดไปทรมาน แล้วจุดไฟเผานางให้ตายทั้งเป็น"

หนึ่ง.. สอง.. สาม..


ไม่มีแม่มดตนไหนทรงรับฟังคำสั่งพระนาง


องค์หญิงน้อยสุดแสนเศร้า เปลวไฟลุกโชนแผดเผาทุกวี่วัน


สุดท้ายแล้วแม่มดมากมายเหล่านั้นก็ต่างล้มตายหนีหายไปจนหมดเมือง

"เจ้าชาย..เจ้าชายเจ้าขา
ข้ารอคอยท่านอยู่บนหอคอยแห่งนี้...


เมื่อไหร่ท่านจะมา จะมารับตัวข้า
ท่านเจ้าชาย


กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิด ข้าต้องทำอย่างไร
ชายในฝันจึงจะมามาหาตัวข้า
ณ หอคอยห่างไกลแห่งนี้เอย"


กระจกวิเศษนั้นกล่าวตอบมาว่า


"จงลืมตาเถิดเจ้าหญิง
โลกใบนี้หาใช่นิทาน ท่านจงยอมรับความเป็นจริง
ลืมตาตื่นจากฝันแสนงามพริ้ง ค้นพบความจริงเสียที"


แล้วเจ้าหญิงก็ร้องไห้ นางร่ำร้อง


"กระจกวิเศษ เหตุใดเจ้าช่างโหดร้ายต่อข้านัก
เจ้าเกลียดข้าหรือไร เจ้าขัดขวางความรักข้าทำไมกัน


ทหาร.. เอามันไปทุบ และบดให้เป็นผง
ปล่อยให้เศษของมันปลิวหายไปตามลม
อย่าให้กลับมารวมกันได้อีกตลอดกาล"

"เจ้าชาย...เจ้าชายเจ้าขา
ข้าเฝ้ารอท่านอยู่ที่นี่ บนหอคอยแห่งนี้
เมื่อไหร่ท่านจะมา มาหาตัวข้า ท่านเจ้าชาย"


ราชาและราชินีทรงกลุ้มพระทัย พวกเขาต่างก็พยายามพูดกับเจ้าหญิงน้อย


แต่นางก็ไม่ยอมรับฟัง


เอาแต่เปิดอ่านนิทานแสนหวาน และนอนเล่นอยู่บนหอคอยอยู่อย่างนั้น


ไม่ยอมรับฟังคำพูดของผู้ใด


สุดท้ายองค์ราชาจึงออกรับสั่ง "จงไปตามตัวเจ้าชายจากประเทศข้างเคียง
จงป่าวประกาศตามหา อัศวินและผู้กล้าให้มาหาตัวข้านี้
เพื่อช่วยเจ้าหญิงจากความฝันอันแสนไม่จริง
และปลุกให้นางให้ลืมตาตื่นขึ้นมา"

อัศวินคนแรกที่มาถึงนั้นขี่ม้าขาว


เจ้าหญิงทรงตาวาว และทรงนั่งรอดู


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นเขตประตู


มังกรไฟนึกว่าศัตรู จึงเผาเขาให้ตายทั้งเป็น

เจ้าหญิงทรงร่ำไห้ นั่นไม่ใช่เจ้าชาย


แต่เป็นเพียงแค่ชายวายร้ายที่จำต้องตายเพราะหลอกลวงพระนาง


"มังกรเอ๊ยเจ้ามังกร"


องค์หญิงทรงปาดน้ำตา นางชี้ไปที่ซากศพนั้นด้วยสีหน้าหวาดผวา


"ข้าไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่งดงามตา
จงกำจัดสิ่งนั้นเสีย จงทานมันเข้าไป
อย่าให้มีชิ้นส่วนไหนตกลงมาต่อหน้าต่อตาข้า
เข้าใจไหมเจ้ามังกร"

หนึ่งคน สองคน สามคน


เจ้าหญิงน้อยทรงเฝ้ามองดู


หนึ่งโดนมังกรนึกว่าศัตรู และถูกแผดเผาจนหายไป


สองหลบหนีเจ้ามังกรไฟ แล้วตกหายลงไปในสายธาร


สามนั้นช่างองอาจกล้าหาญ แต่ไม่นานเกินสามนาที

องค์หญิงน้อยทรงตั้งโต๊ะเสวยหาอาหาร ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่าอัศวิน


อาหารว่างวันนี้คือพุดดิ้ง และชูครีม

"ไม่แข็งแกร่ง"


นางกล่าว


"ไม่ฉลาดเฉลียว"


นางว่า


"ไม่มีใครเลยหรือที่จะสามารถต่อกรกับมังกรไฟของข้า ช่างน่าเศร้าใจ"


ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว องค์หญิงจึงคิดว่ามังกรนี้อาจจะโหดร้ายเกินไปซักหน่อย


นางจึงสั่งให้มันเฝ้าคอยอยู่หลังหอคอยของพระนาง


และแล้วในที่สุดก็มีชายผู้กล้าปรากฏตัวขึ้นมาที่ฐานหอคอย

ชายคนนั้นร้องตะโกนเรียกตัวพระนาง


"ได้โปรดโยนเส้นผมท่านลงมา ให้ตัวข้าได้ปีนขึ้นไปหา
และพาท่านลงมาสู่โลกของข้าเถิดองค์หญิง"


องค์หญิงทรงลิงโลดอยู่ในใจ แต่จะให้โยนผมลงไปก็กระไร ในเมื่อมันคงเจ็บน่าดู


สุดท้ายนั้นนางจึงแกล้งทำไม่รู้ โยนสายโซ่และตะขอ หวังให้เกี่ยวตัวเขากลับขึ้นมา


แต่ช่างน่าอนิจจา องค์ชายผู้ไม่รู้ ถูกตะขอนางรัดคอตายทั้งเป็น

องค์หญิงน้อยทรงเศร้าพระทัย ด้วยเหตุใดเขาจึงไม่คว้ามันให้ดี


ช่างตายอย่างไม่สมเป็นผู้ดี นี่ก็คงไม่ใช่ชายของนาง


"เอ้าทหาร จงเอาซากศพของชายผู้นั้นไปให้มังกรข้าทานเดี๋ยวนี้ไป"

วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า


ในที่สุุดก็มีชายผู้หนึ่งปีนขึ้นมาหาพระนาง


องค์ชายรูปงาม บาดแผลเต็มกาย


ปราบทั้งเจ้ามังกรร้าย และสหายมากมายเพื่อช่วยพระนาง

"องค์ชาย..."


นางมองชายผู้นั้นที่ยื่นมือเข้าหา ฝ่ามือสีแดงฉานถูกมอบตรงมา


องค์หญิงน้อยแย้มยิ้ม แล้วยื่นมือกลับไป


ก่อนผลักชายผู้โชคร้ายตกจากระเบียง

"ไม่งดงาม ช่างไม่งดงาม
ชายผู้นี้หรือจะมาโอบกอดข้า
เช่นนั้นแล้วเสื้อผ้าข้าคงเปื้อนเป็นแน่แท้


ท่านช่างไม่งดงาม ไม่ใช่เจ้าชายของข้าหรอก"


องค์หญิงน้อยถอดถุงมือเปื้อนเลือดออก นางปิดหน้า แลว้ปาดน้ำตา


เจ้าชายของนางทำไมยังไม่มา


ชายผู้เก่งกล้า และไร้บาดแผลใด


"องค์ชาย องค์ชายเจ้าขา
เมื่อไหร่ท่านจะมา
เมื่อไหร่จะพาข้าออกไป"

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่องค์หญิงน้อยทรงเฝ้ารอคอย


"เจ้าชาย เจ้าชายเจ้าขา เจ้าชายของข้า ท่านอยู่หนใด"


พระนางทรงจิบชา เสวยพระกระยาหาร และเบนหน้าออกไปทางหน้าต่าง


รอคอยเจ้าชายของนาง


ที่อาจจะมาในซักวัน


[End.]

อื่นๆที่แค่อยากจะบอกเฉยๆ แต่ไม่มีในหนังสือ
  • เจ้าหญิงน้อยชื่อว่า “ฟีโอน่า” แต่ในหนังสือไม่ได้ถูกเขียนถึง
  • นางไม่ได้ขังตัวเองไว้ในหอคอย นางกลับปราสาททุกเย็น เพราะห้องนอนที่ปราสาทกว้างกว่า
  • นางให้ทหารอุ้มนางขึ้นหอคอยในตอนเช้า และอุ้มลงมาในตอนเย็น
  • เจ้าหญิงน้อยอายุ 15
  • มีตอนแถมของเจ้าหญิงน้อยด้วย แต่ไม่ได้ถูกเขียนลงมาในหนังสือ
  • เรื่องสั้นนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศใดประเทศหนึ่ง โลก เหตุการณ์ สถานที่ และตัวละครในเรื่องล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสมมุติขึ้นเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  • หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะแก่เด็กที่อายุต่ำกว่า 15ปี ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำ (...)
  • ผู้แต่งโดนบก.ทวงหนักมากเพราะส่งต้นฉบับเลทไปสามวัน
  • หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 ที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นมา เรื่อง “เจ้าหญิงน้อย” เป็นแค่ตอนสั้นๆตอนหนึ่งในเรื่องเท่านั้น
  • หากต้องการติดต่อกับผู้เขียน กรุณาส่งจม.ไปทางสนพ.
  • แต่ไม่ส่งมาอาจจะดีกว่า เพราะผู้เขียนไม่ต้องการจะรับ (แต่ก็ตอบกลับนะ ไม่งั้นบก.ตบตาย)
  • ตอนแรกผู้เขียนตั้งชื่อหนังสือนี้ว่า “นิทานและความฝัน” แต่บก.ตัดตกไป เพราะชื่อดูล่อลวงเด็กซื่อๆเกินไป บก.กลัวความใสของเด็กถูกทำลาย