Monday, September 21, 2015

[T] Book.01 “เจ้าหญิงน้อย”

หนังสือ ชุดรวมเรื่องสั้น : “ความฝันสีชาด”
ตอนที่ 01 : “เจ้าหญิงน้อย”
ผู้แต่ง : อิสซาร์ (โทไบอัส เซปาร์)


หมายเหตุ : หนังสือเล่มนี้คือเล่มที่ 4 ของคนเขียน (อย่าถามว่าทำไมถึงมีแต่งแค่นี้), หาได้ตามร้านหนังสือและชั้นหนังสือบางแห่ง แต่อาจจะแอบๆมุมอยู่บ้าง หน้าปกไม่โดดเด่น มองข้ามไปเลยก็ได้---


-----------


..เด็กสาวเพียงเฝ้าใฝ่ฝัน ว่าซักวันเจ้าชายจะมา..


นางนั่งรอเจ้าชายจากหอคอยสูง


รอแล้วรอเล่า พร่ำเพ้อภาวนา


ว่าซักวันเจ้าชายจะมา


จะมาพานางไป

หอคอยสีขาวงาช้างงดงาม แต่หาใช่ที่คุมขังเจ้าหญิงไม่


นางต่างหากคือผู้สั่งสร้างเจ้าหอคอยกลางป่าลำเนาไพร


เพื่อเฝ้าร้องเพลงเรียกเจ้าชายจากแดนไกลที่ไม่เคยมา

เจ้าหญิงน้อยรอคอย รอแล้วรอเล่า แต่เจ้าชายก็ไม่ปรากฏตัว


ในเมื่อเจ้าชายของนางไม่โผล่มาเสียที


นางจึงออกคำสั่งให้ทหารออกตามหามังกรไฟ มาผู้ไว้ใต้ฐานหอคอย


หาใช่เพื่อไว้ใช้ปกป้องคุ้มครองนางไม่ แต่เพื่อให้เจ้าชายได้สังหารมันในซักวัน


...


"เจ้าชาย..เจ้าชายเจ้าขา ท่านอยู่หนใด
ตอนนี้มีแล้วทั้งมังกรไฟ หอคอย และเจ้าหญิง
เจ้าชาย เจ้าชายเจ้าขา...
ทำไมท่านถึงยังไม่มา
ไม่มารับข้าเสียที"


แน่นอนว่าความจริงไม่ใช่ความฝัน


เจ้าหญิงน้อยปิดตาไม่ยอมฟังคำพูดขององค์ราชาและราชีนี


นางรับสั่งให้ทรงจ้างแม่มดจ้าวมาตรา บังคับจับพวกเขาเหล่านั้นมามอบให้แก่นาง


“จงร่ายคาถา จงสร้างไม้หนาม
จงเสกให้คนทั้งวังนั้นหลับไหล


ทำตามข้าสิ จงทำตามบัญชา
สร้างมนตรานั้นขึ้นมาให้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง”


แต่แม่มดกล่าวปฏิเสธ นางมิอาจทำตามคำสั่งของเจ้าหญิง


ด้วยเพราะเรื่องนั้นช่างร้ายแรง และใช่ว่านางมีอำนาจพอที่จะสามารถทำ


“ลืมตาเถิด จงลืมตา
ท่านหญิงของข้าจงโปรดเข้าใจ
มนตราข้าหาใช่มีไว้เพื่อสร้างฝัน
และโลกใบนี้หาใช่นิทานเหล่านั้น


เจ้าหญิงน้อยของข้า ข้าไม่อาจทำตามนั้นได้จริงๆ”


แต่คำตอบของนางไม่อาจทำให้เจ้าหญิงทรงพอพระทัย


พระนางร่ำไห้และร่ำไห้


เหตุใดจึงทำตามคำสั่งของนางไม่ได้ทั้งที่นางเป็นถึงเจ้าหญิง


หากแม่มดตนนี้ทำไม่ได้ นางก็ไม่ต้องการเก็บไว้อีกต่อไป


"เอ้าทหาร จงจับนางแม่มดไปทรมาน แล้วจุดไฟเผานางให้ตายทั้งเป็น"

หนึ่ง.. สอง.. สาม..


ไม่มีแม่มดตนไหนทรงรับฟังคำสั่งพระนาง


องค์หญิงน้อยสุดแสนเศร้า เปลวไฟลุกโชนแผดเผาทุกวี่วัน


สุดท้ายแล้วแม่มดมากมายเหล่านั้นก็ต่างล้มตายหนีหายไปจนหมดเมือง

"เจ้าชาย..เจ้าชายเจ้าขา
ข้ารอคอยท่านอยู่บนหอคอยแห่งนี้...


เมื่อไหร่ท่านจะมา จะมารับตัวข้า
ท่านเจ้าชาย


กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิด ข้าต้องทำอย่างไร
ชายในฝันจึงจะมามาหาตัวข้า
ณ หอคอยห่างไกลแห่งนี้เอย"


กระจกวิเศษนั้นกล่าวตอบมาว่า


"จงลืมตาเถิดเจ้าหญิง
โลกใบนี้หาใช่นิทาน ท่านจงยอมรับความเป็นจริง
ลืมตาตื่นจากฝันแสนงามพริ้ง ค้นพบความจริงเสียที"


แล้วเจ้าหญิงก็ร้องไห้ นางร่ำร้อง


"กระจกวิเศษ เหตุใดเจ้าช่างโหดร้ายต่อข้านัก
เจ้าเกลียดข้าหรือไร เจ้าขัดขวางความรักข้าทำไมกัน


ทหาร.. เอามันไปทุบ และบดให้เป็นผง
ปล่อยให้เศษของมันปลิวหายไปตามลม
อย่าให้กลับมารวมกันได้อีกตลอดกาล"

"เจ้าชาย...เจ้าชายเจ้าขา
ข้าเฝ้ารอท่านอยู่ที่นี่ บนหอคอยแห่งนี้
เมื่อไหร่ท่านจะมา มาหาตัวข้า ท่านเจ้าชาย"


ราชาและราชินีทรงกลุ้มพระทัย พวกเขาต่างก็พยายามพูดกับเจ้าหญิงน้อย


แต่นางก็ไม่ยอมรับฟัง


เอาแต่เปิดอ่านนิทานแสนหวาน และนอนเล่นอยู่บนหอคอยอยู่อย่างนั้น


ไม่ยอมรับฟังคำพูดของผู้ใด


สุดท้ายองค์ราชาจึงออกรับสั่ง "จงไปตามตัวเจ้าชายจากประเทศข้างเคียง
จงป่าวประกาศตามหา อัศวินและผู้กล้าให้มาหาตัวข้านี้
เพื่อช่วยเจ้าหญิงจากความฝันอันแสนไม่จริง
และปลุกให้นางให้ลืมตาตื่นขึ้นมา"

อัศวินคนแรกที่มาถึงนั้นขี่ม้าขาว


เจ้าหญิงทรงตาวาว และทรงนั่งรอดู


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นเขตประตู


มังกรไฟนึกว่าศัตรู จึงเผาเขาให้ตายทั้งเป็น

เจ้าหญิงทรงร่ำไห้ นั่นไม่ใช่เจ้าชาย


แต่เป็นเพียงแค่ชายวายร้ายที่จำต้องตายเพราะหลอกลวงพระนาง


"มังกรเอ๊ยเจ้ามังกร"


องค์หญิงทรงปาดน้ำตา นางชี้ไปที่ซากศพนั้นด้วยสีหน้าหวาดผวา


"ข้าไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่งดงามตา
จงกำจัดสิ่งนั้นเสีย จงทานมันเข้าไป
อย่าให้มีชิ้นส่วนไหนตกลงมาต่อหน้าต่อตาข้า
เข้าใจไหมเจ้ามังกร"

หนึ่งคน สองคน สามคน


เจ้าหญิงน้อยทรงเฝ้ามองดู


หนึ่งโดนมังกรนึกว่าศัตรู และถูกแผดเผาจนหายไป


สองหลบหนีเจ้ามังกรไฟ แล้วตกหายลงไปในสายธาร


สามนั้นช่างองอาจกล้าหาญ แต่ไม่นานเกินสามนาที

องค์หญิงน้อยทรงตั้งโต๊ะเสวยหาอาหาร ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่าอัศวิน


อาหารว่างวันนี้คือพุดดิ้ง และชูครีม

"ไม่แข็งแกร่ง"


นางกล่าว


"ไม่ฉลาดเฉลียว"


นางว่า


"ไม่มีใครเลยหรือที่จะสามารถต่อกรกับมังกรไฟของข้า ช่างน่าเศร้าใจ"


ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว องค์หญิงจึงคิดว่ามังกรนี้อาจจะโหดร้ายเกินไปซักหน่อย


นางจึงสั่งให้มันเฝ้าคอยอยู่หลังหอคอยของพระนาง


และแล้วในที่สุดก็มีชายผู้กล้าปรากฏตัวขึ้นมาที่ฐานหอคอย

ชายคนนั้นร้องตะโกนเรียกตัวพระนาง


"ได้โปรดโยนเส้นผมท่านลงมา ให้ตัวข้าได้ปีนขึ้นไปหา
และพาท่านลงมาสู่โลกของข้าเถิดองค์หญิง"


องค์หญิงทรงลิงโลดอยู่ในใจ แต่จะให้โยนผมลงไปก็กระไร ในเมื่อมันคงเจ็บน่าดู


สุดท้ายนั้นนางจึงแกล้งทำไม่รู้ โยนสายโซ่และตะขอ หวังให้เกี่ยวตัวเขากลับขึ้นมา


แต่ช่างน่าอนิจจา องค์ชายผู้ไม่รู้ ถูกตะขอนางรัดคอตายทั้งเป็น

องค์หญิงน้อยทรงเศร้าพระทัย ด้วยเหตุใดเขาจึงไม่คว้ามันให้ดี


ช่างตายอย่างไม่สมเป็นผู้ดี นี่ก็คงไม่ใช่ชายของนาง


"เอ้าทหาร จงเอาซากศพของชายผู้นั้นไปให้มังกรข้าทานเดี๋ยวนี้ไป"

วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า


ในที่สุุดก็มีชายผู้หนึ่งปีนขึ้นมาหาพระนาง


องค์ชายรูปงาม บาดแผลเต็มกาย


ปราบทั้งเจ้ามังกรร้าย และสหายมากมายเพื่อช่วยพระนาง

"องค์ชาย..."


นางมองชายผู้นั้นที่ยื่นมือเข้าหา ฝ่ามือสีแดงฉานถูกมอบตรงมา


องค์หญิงน้อยแย้มยิ้ม แล้วยื่นมือกลับไป


ก่อนผลักชายผู้โชคร้ายตกจากระเบียง

"ไม่งดงาม ช่างไม่งดงาม
ชายผู้นี้หรือจะมาโอบกอดข้า
เช่นนั้นแล้วเสื้อผ้าข้าคงเปื้อนเป็นแน่แท้


ท่านช่างไม่งดงาม ไม่ใช่เจ้าชายของข้าหรอก"


องค์หญิงน้อยถอดถุงมือเปื้อนเลือดออก นางปิดหน้า แลว้ปาดน้ำตา


เจ้าชายของนางทำไมยังไม่มา


ชายผู้เก่งกล้า และไร้บาดแผลใด


"องค์ชาย องค์ชายเจ้าขา
เมื่อไหร่ท่านจะมา
เมื่อไหร่จะพาข้าออกไป"

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่องค์หญิงน้อยทรงเฝ้ารอคอย


"เจ้าชาย เจ้าชายเจ้าขา เจ้าชายของข้า ท่านอยู่หนใด"


พระนางทรงจิบชา เสวยพระกระยาหาร และเบนหน้าออกไปทางหน้าต่าง


รอคอยเจ้าชายของนาง


ที่อาจจะมาในซักวัน


[End.]

อื่นๆที่แค่อยากจะบอกเฉยๆ แต่ไม่มีในหนังสือ
  • เจ้าหญิงน้อยชื่อว่า “ฟีโอน่า” แต่ในหนังสือไม่ได้ถูกเขียนถึง
  • นางไม่ได้ขังตัวเองไว้ในหอคอย นางกลับปราสาททุกเย็น เพราะห้องนอนที่ปราสาทกว้างกว่า
  • นางให้ทหารอุ้มนางขึ้นหอคอยในตอนเช้า และอุ้มลงมาในตอนเย็น
  • เจ้าหญิงน้อยอายุ 15
  • มีตอนแถมของเจ้าหญิงน้อยด้วย แต่ไม่ได้ถูกเขียนลงมาในหนังสือ
  • เรื่องสั้นนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศใดประเทศหนึ่ง โลก เหตุการณ์ สถานที่ และตัวละครในเรื่องล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสมมุติขึ้นเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  • หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะแก่เด็กที่อายุต่ำกว่า 15ปี ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำ (...)
  • ผู้แต่งโดนบก.ทวงหนักมากเพราะส่งต้นฉบับเลทไปสามวัน
  • หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 ที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นมา เรื่อง “เจ้าหญิงน้อย” เป็นแค่ตอนสั้นๆตอนหนึ่งในเรื่องเท่านั้น
  • หากต้องการติดต่อกับผู้เขียน กรุณาส่งจม.ไปทางสนพ.
  • แต่ไม่ส่งมาอาจจะดีกว่า เพราะผู้เขียนไม่ต้องการจะรับ (แต่ก็ตอบกลับนะ ไม่งั้นบก.ตบตาย)
  • ตอนแรกผู้เขียนตั้งชื่อหนังสือนี้ว่า “นิทานและความฝัน” แต่บก.ตัดตกไป เพราะชื่อดูล่อลวงเด็กซื่อๆเกินไป บก.กลัวความใสของเด็กถูกทำลาย


Saturday, September 19, 2015

[T] Side Story .01



อวาริเทียร์ ซาญีร่า เลโอนัส เป็นสาวสวยที่ตัดผมสั้นจนแทบกุด นางอายุยี่สิบสองและเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กมาได้ยังไม่ทันครบปีดีดักตอนที่โทไบอัสไปพบเจอนางเข้า

ในตอนนั้นเขาอายุสิบสาม เขาพบนางในบ่อนเถื่อนของแคว้นอาซูลในบารามอสตอนที่แอบหลบออกจากที่พักไปพร้อมกับน้องชายวัยสิบสอง ถึงจะใช้วิธีบังคับให้คนขับรถม้าพาตัวไปและใส่ผ้าคลุมปกปิดอย่างดี แอบแฝงตัวเล็ดลอดสายตาของผู้ใหญ่และหมอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็ตาม แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายเขากลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขากำลังหยุดหมุน แม้แต่เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มในห้องหับมืดครึ้มก็ไม่อาจทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์

เบื้องหน้าที่เขาเห็นคือภาพของหญิงสาวผู้นั้น.. นางผู้เปล่งประกายโดดเด่นยิ่งกว่าใครแม้ว่าเวทีจะถูกทำให้สว่างไสวอยู่แล้วก็ตาม และโดยเฉพาะในยามที่นางกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางเวทีเบื้องล่างด้วยดาบคู่เพรียวบางในมือของนาง

นางตวัดคมดาบปาดคอกระทิงหนุ่มที่ล้มลงในดาบเดียว นางเหมือนกับแค่บิดข้อมือ กำจัดตัวที่สองและสามโดยแทบไม่ต้องใช้กระบวนท่าใดๆ ราวกับมันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย นางหมุนตัวและตั้งท่า ขยับรอยยิ้มยามเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น...เหมือนกับกลีบดอกไม้ที่กำลังร่วงโรยปลิดปลิว... มันไม่ใช่ภาพที่ชวนให้สยดสยองหรือหดหู่ใจอย่างที่ควรจะเป็น ในสายตาของเขาในวันนั้นมันไม่ป่าเถื่อนเสียด้วยซ้ำ..แต่มันงดงามจนเขาแทบหยุดหายใจ


หลังการแข่งขัน เขาไปรอพบนางตรงทางออก นางสูงกว่าเขาพอตัวเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชายที่ยังไม่ย่างเข้าวัยรุ่น ในขณะที่นางสวยสะพรั่งเต็มที่อย่างสมวัยของนาง...ยิ่งมองใกล้ๆนางก็ยิ่งงดงาม ดวงตาสีฟ้าใสที่มองตอบมานั่นใคร่รู้และสั่นระริก รอยยิ้มบางๆที่วาดบนดวงหน้าเป็นมิตรจนไม่น่าเชื่อว่านางคือผู้ที่ได้รับเงินพนันสูงที่สุดในเวลาไม่กี่ชั่วยาม

เอาจริงๆนางถือว่าสวยมากเกินกว่าจะมาจับดาบเสียด้วยซ้ำ นางเหมาะจะไปถือพัดหรือคทาเสียมากกว่าจะถืออาวุธของมีคม..แต่เพราะอย่างนั้นแหละเขาถึงเห็นว่านางช่างน่าดึงดูดใจ

แต่สิ่งที่ดึงดูดใจเขามากกว่าความสวยก็คือฝีมือ

อวาริเทียร์ ซาญีร่า เลโอนัส เป็นนักดาบคู่ที่เก่งกาจ ต่อให้เป็นสตรีแต่นางก็โดดเด่นยิ่งกว่าบุรุษคนไหนๆที่เขาเคยพบถ้าไม่นับพวกระดับสูงอย่างอัศวินชั้นผู้ใหญ่ที่ท่วงท่าก็ไม่ได้งดงามอะไรเลย แต่นางนั้นต่างออกไป

เขาต้องการจะเรียนรู้วิชาของนางให้มากกว่าที่ตาเห็น..วิชาของดาบคู่นั้นที่ตรึงเขาไว้ราวกับต้องมนตร์

โทไบอัสใช้เวลาอ้อนวอน--หมายถึง--ขอร้องให้นางมาเป็นอาจารย์ของเขาอยู่เกือบสามอาทิตย์ทั้งที่การขอร้องใครเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเป็นที่สุด แต่กับนางมันต่างออกไป เขาไปหานางจนเรียกได้ว่าแทบจะทุกวันที่เขาจะแอบออกมาจากที่พักตอนที่ยังอยู่ที่แคว้นอาซูลได้ และนางก็ตกลงรับคำของเขาในวันที่สิบหกหลังจากเขาบอกนางว่าเขาจะหนีออกจากบ้านและตามนางไปถ้านางไม่ยอมมาสอนดาบให้กับเขาดีๆ

คนดื้อก็ยังเป็นคนดื้อ ถึงจะไม่เท่าน้องชายคนเล็ก แต่เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกจัดว่าดื้อมาก และนางคงรู้ว่าเขาจะทำจริงๆ

แต่เพราะเขาต้องเดินทางกลับบ้านที่เมืองหลวงในอีกสองอาทิตย์หลังจากนั้น เขาจึงถือโอกาสชวนนางกลับมาด้วยโดยที่ไม่มีใครท้วงติงอันใด แม้แต่นางเองก็เช่นกัน.. (เอาจริงๆนางกระดี๊กระด๊ามากที่จะได้นั่งรถม้าดีๆและทานอาหารอร่อยๆกับเดินทางเข้าเมืองหลวง นางปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถม้าและลากเขาขึ้นไปนั่งดูวิวด้วยกันเลยทีเดียว)

หรือจะให้พูดอีกอย่างคือ ที่บ้านไม่ได้สนใจว่าเขาจะพาใครมา พวกนั้นไม่สนใจตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำให้ตระกูลเซปาร์เสื่อมเสียชื่อเสียง..ถึงการพาสาวเข้าบ้านอาจจะทำให้คนมอง แต่ในเมื่อสาวคนนั้นมียศเป็นนักรบ ผู้คนก็เหมือนจะเลิกสนใจ และในเมื่อโทไบอัสที่ปกติแทบไม่ค่อยเอ่ยปากขออะไรนั้นเปิดปากขอเงินซักก้อนเพื่อจ้างอาจารย์มาสอน พ่อที่ไม่ค่อยมีเวลาให้อย่าง รี๊ด เซปาร์ ก็เหมือนว่าจะโยนเงินถุงให้อย่างง่ายดายและโบกมือให้เขาออกไปจากห้องทำงาน

ถึงจะเป็นความไม่ใส่ใจและห่างเหิน แต่โทไบอัสก็ทำให้คนที่บ้านและบรรดาญาติผู้ใหญ่ได้เห็นว่าการจ้างสาวซักคนมาเป็นอาจารย์สอนดาบไม่ได้ทำให้เขาไปนั่งจีบสาวหรือเสียการเรียนอย่างที่เด็กผู้ชายทั่วไปควรจะเป็น เขาฝึกหนักและยังคงทำคะแนนด้านการเรียนได้อย่างคงเส้นคงวา หรือจะเรียกได้ว่าฝึกหนักมากเดิมก็ว่าได้

การฝึกของเซญีร่านั้นเข้มงวด แม้นอกเวลานางจะทำตัวให้โทไบอัสรู้สึกว่านางเหมือนพี่สาวที่น่าเป็นห่วงมากแค่ไหน แต่ในเวลาฝึกนั้นนางเป็นราวกับคนละคน นางบอกเขาว่าสิ่งที่เขาเห็นคือตัวตนจริงๆของนาง ตอนที่นางฝึกให้เขาต่างหากคือสิ่งที่เรียกว่า 'หน้ากาก' ที่นางสวมใส่อยู่

"คนเราทุกคนมีหน้ากากเสมอนั่นแหละโทบี้" นางเล่าให้เขาฟังในวันหนึ่ง เอาจริงๆนางก็เป็นคนชอบเล่าเรื่องอยู่แล้ว และโทไบอัสเองก็ชอบถามเรื่องราวของโรงเรียนพระราชาซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่นางจะเล่าแล้วเล่าอีกได้ไม่จบไม่สิ้น

แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิ้วกระตุกในตอนแรกๆคือการที่นางเรียกเขาว่า 'โทบี้' ไม่ใช่ 'โทไบอัส' นางตั้งชื่อเล่นให้เขาโดยไม่ยอมฟังคำท้วงติง และพอเขาบ่นนางก็จะหัวเราะแล้วบอกว่า "มันก็น่ารักดีออก มันทำให้พวกเราเหมือนจะใกล้กันมากขึ้นกว่าเดิมอีกใช่ไหมละ ไหนๆข้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว นี่แหละคือคำสั่งแรกของข้า.. จงยอมให้ข้าเรียกเจ้าด้วยชื่อนั้นซะ!"

เพราะนางพูดแบบนั้น อีกห้าวิต่อมาโทไบอัสจึงเรียกนางว่า 'เซร่า' เขาบอกกับนางอย่างที่นางบอกกับเขา.. เพราะเขาคือผู้จ่ายเงินจ้างนาง นี่คือคำสั่งแรกที่เขาจะใช้สั่งนางเช่นกัน


[ToB] [T] Event 1.3 : สับสน...



0.

"...เจ้ายังอยากเป็นอัศวินอยู่รึเปล่า โทไบอัส"


ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เหงื่อกาฬไหลอาบร่างเหมือนกับหลุดมาจากภวังค์ของฝันร้าย คำพูดของหมอนั่นยังคงดังก้องอยู่ในหัว...เหมือนกับจะตามมาหลอกหลอน..


สัมผัสของลำคอที่ข้าบีบจนแน่นยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้ว...ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะลงมือกับมันไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าจะเผลอโมโหไปคำพูดของเด็ก... โมโหมากจนควบคุมตัวเองไม่ได้



"เจ้า..ก็แค่กลัว โทไบอัส เซปาร์"



ข้ายันตัวขึ้น เดินไปทางห้องน้ำเพื่อจะล้างหน้าล้างตา ไม่สนใจเมทที่กำลังนอนหลับอยู่..เอาจริงๆข้าก็ไม่ค่อยจะสนใจอยู่แล้วโดยเฉพาะในตอนนี้..ข้าไม่มีเวลาจะสนใจใครทั้งนั้น


"อย่าเล่นลิ้นกับข้า...อาร์กีริส"

"เจ้าจะโกรธอะไรกันโทไบอัส คำพูดของข้าไปขุดคุ้ยตัวตนของเจ้ารึยังไง"


สายน้ำเย็นเฉียบที่สัมผัสใบหน้าทำให้ข้าตาสว่างขึ้นมา แต่เมื่อมองไปทางกระจก...ข้ากลับรู้สึกเหมือนสายตาที่จ้องกลับมานั้นไม่ใช่ของตัวข้าเลย..



"เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก"



...กลัวงั้นเหรอ...

คำๆนั้นดังก้องอยู่ในหัว ข้าปิดปากเงียบและทำเหมือนกับว่าตัวข้าไม่ได้ยินมัน ทั้งที่นอกจากสัมผัสของลำคอนั่นแล้ว สัมผัสของรอยแผลบางๆจากการถูกสายหนังบาดยังคงฝังอยู่ตามข้อนิ้วและฝ่ามือ

ร่างที่ดื้อทุรนทุราย บีบแขนของข้าเหมือนจะให้ปล่อยทั้งที่ไม่มีแรงพอจะพูดอะไรอีกแล้ว...มันตราตรึงกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก



"ข้าน่ะเหรอจะกลัวอะไร" ข้ากระซิบถามตนเอง...ทั้งที่รู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ

สิ่งที่ข้ากลัว


มันไม่ได้อยู่ห่างไกลไปไหนเลย...




1.

"คนเราทุกคนล้วนมีหน้ากากเสมอ ถ้าเจ้าได้เข้าเรียนที่เอดินเบิร์กมันก็จะมีวิชาที่สอนเจ้าในเรื่องพวกนี้อยู่"

เสียงใสของหญิงแก่วัยกว่าเล่าให้เด็กชายวัยสิบสามฟังด้วยรอยยิ้ม

"จะว่ายังไงดีละ.. ก็เหมือนกับเวลาที่เจ้าอยู่กับข้าเจ้าก็วางตัวแบบนึง อยู่กับน้องๆเจ้าก็วางตัวเป็นพี่ชาย แต่อยู่กับคนอื่นบางครั้งเจ้าก็ห่างเหินใช่ไหมละ นั่นแหละ แต่วิชานี้จะสอนมากกว่านั้น ถ้าเจ้ามองท่านแม่ของเจ้าตอนอยู่ในงานรื่นเริงก็คงเห็น นั่นน่ะเรียกว่าหน้ากากสำหรับเข้าสังค--"

"น่าขยะแขยงชะมัด" เด็กชายชิงพูดตัดประโยค เขานั่งเท้าคางกับโต๊ะ "ข้าไม่เห็นจะชอบเลย.."

"มันเลี่ยงได้ซะที่ไหน โอ๋ๆนะ เด็กดีๆ" เซญีร่าลูบหัวเขาก่อนจะจับขยี้จนยุ่งเหยิง และเมื่อเขาโวยขึ้น นางก็หัวเราะเสียงดังและสดใส "ยังไงเจ้าก็ต้องใช้ อนาคตจะเจออะไรก็ไม่รู้ พวกนักรบบางทีก็ยังใส่หน้ากากกันเลย เพื่อจะทำให้ศัตรูอ่านไม่ออกยังไง" นางย้ำบอกเขา "ยังไงเจ้าก็ต้องมี เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะสอนเจ้าดีไหม หลายเรื่องที่ข้าเคยเรียนมา..ถึงข้าจะไม่ได้เก่งหมดทุกอย่างก็เถอะ แต่ถ้าเคล็ดนิดๆหน่อยๆข้าคิดว่าข้าน่าจะสอนให้เจ้าได้ ในฐานะอาจารย์สอนดาบคนเดียวของเจ้าในตอนนี้"

"แต่จำเอาไว้นะโทบี้ สิ่งที่สำคัญกว่าการป้องกันไม่ให้ศัตรูอ่านเจ้าออกก็คือการที่เจ้าต้องอ่านฝ่ายนั้นให้ได้ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะอ่านเจ้าออก และทำลายหน้ากากที่ฝ่ายนั้นสวมใส่ทิ้งให้ได้ เข้าใจไหม"

“และหน้ากากพวกนี้ก็ยังมีประโยชน์อีกอย่าง...คือหากเจ้าสามารถใส่มันจนชินชาแล้ว ต่อให้เจ้าต้องการจะร้องไห้มากยังไง คนภายนอกก็อาจจะเห็นว่าเจ้ากำลังมีความสุขอยู่ก็ได้นะ”






2.

"อ้า... ดูสิ สองพี่น้องได้พบกันซะแล้วละ เรามาหยุดดูกันซักพักดีกว่าไหม"

ตอนทีแข่งกับแผ่นดินประชาชนนั้นเขาลงเป็นคนเดินหมาก การได้ขึ้นมาบนปะรำนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับเขา จะเรียกว่ามันเหมือนกับสนามต่อสู้กระดานใหม่เลยก็ว่าได้ และเพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมานี้ เขาก็ไม่ควรที่จะทำให้ใครผิดหวัง แม้จะรู้กันดีในปราการปราชญ์ชั้นปีที่สองว่าอีเลียสนั้นเป็นคนที่เดินหมากเก่งที่สุด แต่โทไบอัสก็ไม่ได้คิดว่าตนเองจะแพ้ใหเใครง่ายๆ ไม่ใช่เพราะเขาทะนงในฝีมือการเดินหมากของตนเอง แต่เพราะหมากรุกพระราชานั้นแตกต่างจากหมากรุกปกติต่างหาก

สำหรับตัวเขาแล้ว การที่จะอยู่หรือจะไปบนแทนปะรำนั้น โทไบอัสมองว่าสิ่งที่จำเป็นนั้นมีอยู่แค่สามอย่าง

อย่างแรกคือสติปัญญา และการพลิกแพลง... สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยให้เขาสามารถแก้เกมและวางแผน การต้องมองหมากให้หมดทั้งกระดาน ต้องรู้ว่าใครคือคนที่จะปะทะด้วย และการคัดเลือกคนที่จะไปปะทะก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ

การจะวางแผนเองก็ไม่ใช่ต้องมองแค่หนึ่งแล้วจบ แต่ต้องมองให้ลึกกว่านั้น..

กระดานหมากรุกมีแปดแถว หกสิบสี่ช่อง ตัวหมากงฝั่งละสิบหก สองฝั่งก็สามสิบสอง ตาเดินที่เป็นไปได้มีมากเกินกว่าจะนับไหว และต่อให้สามารถสกัดทิศทางของอีกฝ่ายได้ด้วยหมากของตน แต่ถ้าผู้ที่ส่งไปนั้นอ่อนแอกว่า อย่างไรเสียก็แพ้อยู่ดี เพราะอย่างนั้นถึงจะเดินตาได้ฉลาดแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้ฝีมือของทั้งสองฝ่าย สุดท้ายก็พ่ายอยู่ดี


อย่างที่สองคือหน้ากาก การเรียนในวิชาหน้ากากฟาโรห์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเดินกว่าที่ใครจะนึกถึง.. การแสดงออกทางสีหน้านั้นเป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวง แววตาเองก็เช่นกัน.. เพราะหากเผลอแสดงอาการณ์วิตกกังวลออกมา การจะก้าวพลาดไปก็เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าง่าย


และส่วนสุดท้าย... คือการเชื่อใจซึ่งกันและกัน...หากทีมของข้ามีครบทั้งสามข้อมันก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วรึเปล่า


แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่.. ความผูกพันธ์กับเด็กพวกไม่มีผลกระทบใดๆกับตัวเขาเลย ก็แค่อย่าพลาดท่าไปเสียก็พอ


และเพราะอย่างนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ความสัมพันธ์เล็กน้อยที่คล้องระหว่างลิเลียนกับฟ๊อกซี่และอินดิโก้จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเขา

โดยเฉพาะเพราะคำพูดสั้นๆที่อินดิโก้หลุดออกมานั้นช่างมีประโยชน์ เพราะเขาสามารถนำมันไปใช้ตอบโต้กับลิเลียนบนแท่นปะรำได้ และเมื่อเห็นว่าทุกตาที่อินดิโก้ถูกขยับ คนเดินหมากฝั่งตรงข้ามจะมีปฏิกริยาทุกครั้งก็ทำให้เขามั่นใจได้ว่าเขามีตัวหมากที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่ในมือ...แม้ว่ามันจะเบาบางมากก็ตามที

"แต่ข้าอยากจะดู.. งั้นข้าขอดูซักหน่อยก็แล้วกัน"

เพราะว่าตานั้นเป็นตาที่เขาควรจะเดินต่อ เพราะอย่างงั้นหากเขาไม่ขยับหมากต่อแล้วเลือกจะหันไปมองกระดาย อีกฝ่ายเองก็จะไม่สามารถจะขยับหมากเดินเกมต่อไปได้เช่นกัน...สิ่งที่เขาทำก็คือการบังคับ.. บังคับให้อีกฝ่ายยอมจะเดินอยู่บนเส้นที่เขาขีดเอาไว้ให้...ถึงจะไม่รู้ว่ามันจะถ่วงเวลาไปได้นานแค่ไหน

แต่ยิ่งทำให้สมาธิอีกฝ่ายแตกยับให้ได้มากที่สุดก็ถือเพียงพอแล้ว


"....คุณรู้อะไรมากันแน่?"

"อ่อ ใช่..อินดิโก้เป็นคนบอกข้าเอง"

และเพราะอย่างนั้นสิ่งที่ต้องใส่เพิ่มลงไปก็คือ 'คำโกหก' ..เหมือนกับการเหวี่ยงเบ็ดล่อให้ปลามาติดกับ การเลือกเหยื่อที่ถูกที่ควรก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ

"แต่พวกเจ้าก็ดูสนิทกันใช่ไหม ทำไมไม่ลองไปถามจากอินดี้เองละว่าเขาบอกอะไรข้าบ้าง"

โทไบอัสเลือกจะเรียกอินดิโก้ด้วยชื่อย่อเพื่อจะหลอกล่อคนตรงหน้าให้เห็นถึงความผิดปกติของสายสัมพันธ์ที่พวกเขามีให้แก่กัน เลือกจะโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสับสน ทั้งที่ความจริงแล้วความสนิทของตัวเขากับอินดิโก้นั้นก็ไม่ได้ถือว่ามีมากมายขนาดนั้น...แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดอยู่ฝ่ายเดียวนั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญกว่าตอนนี้คือการกระเทาะให้สาวตรงหน้าร้าว

...เพราะรอยร้าวนั้น ต่อให้เป็นแค่รอยเล็กๆ แต่ก็อาจจะพลิกเกมได้ทั้งกระดานถ้าเคาะถูกจุดได้ละก็...

"อินดี้น่ะ..บอกทุกอย่างที่ข้าถามนั่นแหละ" เขายิ้มให้นาง "เป็นเด็กดีใช่ไหมละ เด็กคนนั้นน่ะ.."



ข้าก็จะสามารถล้มกระดานนี้ลงได้เช่นกัน




3.

เมื่อครั้งอดีตที่ข้ายังเป็นเพียงแค่เด็ก ข้าเคยฝัน.. และข้านั้นก็มีความฝันมากมาย หลากหลายเหมือนกับจำนวนของดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เมื่อโตขึ้นความฝันของข้ากลับเริ่มหายไปทีละอย่างสองอย่าง จนสุดท้ายมันก็เหลือสิ่งที่ข้าต้องการเพียงไม่ถึงหยิบมือ

หนึ่งในนั้นคือความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นไป...ก้าวนำเหนือใครๆและไม่ให้ผู้ใดก้าวข้ามข้าได้ เพราะมันเป็นสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้ว่าตัวข้าจะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้ใครในการประลอง

แต่ความฝันของเด็กนั้นก็เป็นเพียงความฝัน เมื่อไม่รู้ว่าโลกของผู้ใหญ่นั้นเป็นเช่นไร สุดท้ายความฝันนั้นก็ถูกทำลายให้หายไปอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของผู้ที่ยืนอยู่บนโลกแห่งความจริง




4.

"เจ้าทำได้แค่นี้เองเหรอ"

คำพูดนั้นเหมือนคำที่ปลุกข้าให้ตื่นจากความฝัน ดึงข้าให้ลืมตามองความเป็นจริง ถึงแม้ข้าจะได้พบกับความเจ็บปวดมากแค่ไหนแต่ข้าก็ไม่เคยรู้สึกคุ้นชินกับมันเสียที...ซึ่งมันก็ดีแล้ว

เบื้องหน้าของข้าคือนักฆ่าในชุดขาว เป็นบิชอปจอมปลอมของปราการปราชญ์ น้ำเสียงของชายตรงหน้านั้นอ่อนโยนเสียงยิ่งกว่าเสียงของนักบวชที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักมา

มันคือคำลวงหลอก



รุ่นพี่ปีห้าถือคทาด้ามยาวไว้ในมือ..แต่ก็แค่ส่วนด้าม รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นส่งมอบให้กับข้าเรียกให้ข้าก้มมองตามสายตาคู่นั้น....ไปทางปลายของด้ามคทา.....


.....ที่เสียบทะลุผ่านปอดของข้า


"ความจริงแล้วข้าก็ไม่ค่อยถนัดเวทดีๆแบบคนอื่นเขาหรอกนะ เวทที่พอใช้ได้ก็พวกที่จะใช้ตรึงเจ้าไว้นั่นแหละ เวทโจมตีอะไรน่ะใช้ไม่ค่อยเป็นเลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยังไงซะคทามันก็ใช้แทงได้เหมือนกับดาบนั่นแหละ เจ้าว่าไหม"


เลือด...


ที่ไหลเจิงนองไปบนพื้นสนาม...

เหมือนกับแอ่งน้ำที่สะท้อนภาพของข้า ให้เห็นสภาพที่ถูกตรึงให้ยืนอยู่เฉยๆด้วยโซ่มากมายที่ฉุดรั้งขาสองข้างของข้าให้ติดอยู่กับพื้นสนาม จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด..และยิ่งขยับ แผลที่ถูกทำไว้ก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น

แต่ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้...


"ถึงจะน่าทึ่งที่เจ้าไม่ยอมแหกปากร้องออกมาตรงๆ แล้วก็ยังไม่ล้มลงไปก็เถอะ แต่เหมือนว่าเจ้าจะทำอะไรต่อไม่ได้แล้วสินะ"

เสียงของไม้ที่แหวกอากาศนั้นดังผ่านหู ภาพที่เห็นนั้นเริ่มจะเบลอจากการเสียเลือดไปมาก แต่ข้าก็ยังพอมองออกว่าต้นเสียงคือภาพของคทาที่ถูกเหวี่ยงเพื่อสะบัดเลือดที่ติดอยู่ทิ้งไป

ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้ ชุดบิชอปสีขาวที่ถูกย้อมสีนั้นตัดกันจนแม้แต่สายข้าของในตอนนี้ยังเห็นชัด ทุกย่างก้าวของเขาทิ้งรอยเท้าสีแดงฉานจากเลือดของบรรดารุ่นน้องที่เขาโค่นล้มไว้เป็นทาง


แล้วรอยยิ้มก็คลี่ออก...รอยยิ้มที่เริ่มจะเหยียดกว้างเกินคำว่าเป็นห่วงไปมากโข


"เจ้าในสภาพนี้ยอมแพ้ดีกว่าไหม จะฝืนตัวต่อไปทำไมกัน ข้าถามด้วยความเป็นห่วงเลยนะ"


เป็นห่วง...จากสิ่งที่ตัวเองทำอย่างนั้นเหรอ


ช่างน่าหัวเราะ..


"ห่วง....ตัวเองก่อนดีกว่าไหม"

"อู้ว.. ปากกล้าดีจังเลยรุ่นน้องที่รัก คนที่อยู่ในสภาพนี้มันไม่ควรจะทำปากเก่งหรอกนะ...ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นะ"

"...แล้ว..ทำไมถึงไม่เอาให้ตายไปเลยละ.."

"ปากดีจริงๆ" อีกฝ่ายว่า "แต่..ทำไมงั้นเหรอ" ภาพตรงหน้าพร่ามากขึ้น แต่น่าแปลกที่เสียงพวกนั้นกลับยังคงดังชัดเจน

"...ข้าแค่อยากจะเล่นสนุกให้นานๆหน่อยเท่านั้นแหละ.. ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกมาหนัก แต่ก็ไม่พออยู่ดี น่าเสียดายจังนะ"


คำพูดที่เหมือนจะยั่วยุให้ข้าโกรธ

ถ้าแค่ไม่หลงกล..


"..นี่เซปาร์.." เสียงนั้นเบาเหมือนจะให้ได้ยินกันเพียงสองคน "ข้าว่าข้าได้ยินคนจากบารามอสเล่าให้ข้าฟังนะ เรื่องครอบครัวของเจ้าน่ะ.."

เสียงที่เนิบนาบนั้นกระซิบถ้อยคำที่แผ่วเบา......

"เรื่องพ่อของเจ้าน่ะ..."





ฉับพลันนั้นเสียงโซ่ตวัดก้อง มันพุ่งขึ้นจากพื้น รัดคอข้าที่จะพุ่งตัวเข้าหาคนตรงหน้าแล้วกระชากออกจากผู้ร่ายอย่างไวว่องจนคมเขี้ยวของข้าไม่อาจจะฝังลงบนร่างนั้นได้ ข้าขู่ในคำคอ คำรามใส่เขาเหมือนกับหมาตัวนึง


"ข้าจะฆ่าเจ้า..!!!"


....เสียงหัวเราะ...


"สายตาแบบนั้นแหละที่ข้าอยากจะเห็น" ดวงตาคู่นั้นวาววูบ "สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแบบนั้นนั่นแหละ!" อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่น "มันก็ดีอยู่หรอกนะ เหมือนกับหมาบ้า.. จนตรอกแล้วยังอยากจะสู้ต่อ ในฐานะรุ่นพี่ข้าก็ควรจะภูมิใจที่มีรุ่นน้องที่หัวแข็งแบบเจ้านะ"


"แต่..." เขาเว้นช่วง หยุดนิ่งไปราวกับครุ่นคิดในขณะที่ตัวข้าพยายามจะยื้อออกจากโซ่ที่เริ่มรัดคอตัวข้าแน่นขึ้น "ในฐานะคนอายุเท่ากัน ข้าคิดว่าเจ้าควรจะรู้คุมอารมณ์เจ้าให้มากกว่านี้นะ อารมณ์ของเจ้ามันรุนแรง..ระวังมันจะแว้งกลับมาทำร้ายตัวเจ้าเองในซักวันแล้วกัน"



"แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นนักเขียน หรือจะเป็นอัศวินบนหลังม้า แต่ตอนนี้...ดูตัวเจ้าสิ"


.......คำเย้ยหยัน......


"พวกเราอายุเท่ากัน แต่เจ้ากลับทำตัวไม่ต่างจากเด็กๆเอาเสียเลย แค่เรื่องนิดๆหน่อยๆเจ้าก็โกรธได้แล้ว บางทีอาจจะเพราะเจ้าอยู่กับพวกเด็กๆมากเกินไปจนเผลอเอานิสัยของเด็กมาใช้ หรือในความเป็นจริง....เจ้าอาจจะยังไม่โตกันนะ?"


...........ความสมเพช.........


"ข้านึกว่าเจ้าจะทำได้มากกว่านี้"

"ข้านึกว่าเจ้าจะทำได้ดีกว่านี้"

"ข้านึกว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนุกได้มากกว่านี้แท้ๆ"

"ช่างน่าผิดหวังจริงๆ ข้าคงตั้งความหวังกับเจ้าเอาไว้สูงเกินไป"



"เจ้าก็คิดแบบนั้นใช่ไหมเซปาร์?"


บิชอปปีห้าถอยกลับไปยืนอีกครั้ง มันมองไปรอบๆกระดานเหมือนจะอยากให้ข้ามองตาม ข้ารู้ว่ามันจะให้ข้าได้เห็นความพ่ายแพ้ของปราการปราชญ์รุ่นสอง พรรคพวกของข้า

แต่ข้าจะหันไปมองทำไม ในเมื่อข้ารู้อยู่แล้วว่าผลมันเป็นยังไง

ในเมื่อข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น



อย่าทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังกับตัวเองไปมากกว่านี้เลย


อย่า....ทำให้ข้ารู้สึกพ่ายแพ้ไปมากกว่านี้เลย




"ไม่คิดจะมองหรือพูดอะไรเลยเหรอเนี่ย อืม... แต่ก็ช่างเถอะ"

"แล้วพวกข้าจะส่งเพื่อนของเจ้าตามไปทีหลังเอง"


“ลาก่อน รุ่นน้องที่น่ารัก”


ความรู้สึกสุดท้ายของข้า...คือความรู้สึกของปลายคทาที่ถูกแทงทะลุร่างกาย...




3.

นี่ข้ากำลัง...ทำอะไรอยู่


นั่นเป็นคำถามที่ข้าเฝ้าถามตัวเอง ทุกวันและทุกวัน ข้าพยายามแล้วที่จะผลักดันตัวเอง ทั้งเรื่องการเรียน ทั้งเรื่องการงาน ทั้งเรื่องฝีมือ

ข้าเคยคิดว่าตัวข้าไปไกลที่สุด ข้าเคยคิดว่าข้าเดินนำเด็กพวกนั้นอยู่หลายก้าว


ข้าคิดมาเสมอ..คิดมาตลอด


ว่าข้าจะไม่ยอมให้ใครไล่ตามข้าได้


หนึ่ง สอง สาม...

ทุกก้าวเดินของข้าต้องหนักแน่น ต้องมั่นคง


สี่ ห้า หก...

ต้องนำคนอื่นมากกว่าหนึ่งก้าว มากกว่าสอง มากกว่าห้า

มากกว่านี้ อย่าให้พวกเขาต้องตามมาทัน


เจ็ด แปด เก้า...

ต้องห้ามล้ม ห้ามสะดุด ห้าม..แม้แต่จะหยุดพัก


ข้าจะต้องเดินต่อไป ข้าจะต้องพยายามมากขึ้นไปอีก ข้าจะต้องไม่แพ้

ต่อให้ต้องเดินจนฝ่าเท้าถลอกปอกเปิงก็ต้องก้าวต่อไป

ต้องไม่ให้ใครตามข้าให้ทันแม้จะต้องคลานไปก็ตามที



"ข้าแค่อยาก...จะทำให้พวกท่านภูมิใจ"



แต่แล้วข้าก็ได้รู้ว่าข้ายังคงเป็นเด็ก มองแต่ผู้ที่ตามหลังมาโดยไม่มองไปรอบตัว ไม่มองไปข้างหน้า

ไม่มองไปในที่ที่สูงกว่า...



...ไม่มองกระทั่งความสามารถของตัวเอง



แล้วตอนนี้ข้าทำอะไรอยู่

จมปลักอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองเก่งกว่า.......เด็ก




พวกนั้นสิบหก แต่ข้าสิบเก้า

ข้าควรจะภูมิใจเหรอที่ข้าต่อสู้ชนะคนที่เด็กกว่า ที่ข้าเดินหมากชนะคนที่อายุน้อยกว่า

ต่อให้อายุไม่ใช่เครื่องตัดสินทุกอย่าง แต่ข้าควรจะภูมิใจแล้วอย่างนั้นเหรอ



ความภูมิใจของเจ้าอยู่ที่ไหนกันโทไบอัส

เจ้าอย่าหลงลำพองใจไป หากเทียบกันแล้ว เจ้าก็เหมือนย้ำอยู่กับที่ไม่ใช่เหรอ



ทางข้างหน้าของเจ้ามันสูงใหญ่ ลืมตามองความเป็นจริงเสียที


มองดูมันให้ดี แล้วสำเหนียกถึงความอ่อนแอที่ตัวเองมีซะ



"...ได้โปรดมองข้าบ้าง.."


โง่งมนักโทไบอัส


เจ้าช่างโง่งมเหลือเกิน



"ได้โปรด...อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว"



คำสัญญาที่เจ้าเคยบอกกับพี่ๆ กับน้องๆ กับท่านแม่ของเจ้าละหายไปไหน

พวกเขาคาดหวังกับเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ

เจ้าลืมไปรึเปล่าว่านอกจากความต้องการของเจ้าที่จะมาที่นี่ เจ้ายังแบกอะไรอย่างอื่นไว้อีก


"ข้าจะพยายาม..พยายามให้มากกว่านี้"

"เพราะอย่างนั้น...ได้โปรด...ยอมรับข้าบ้าง"


เจ้าบอกตัวเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่แพ้ จะไม่ถอย

จะไม่ยอมที่จะล้ม



"ไม่เป็นไร พี่ชายจะไม่ทิ้งพวกเจ้าไป"

"ไม่เป็นไร"


ไหนละคำสัญญาของเจ้า

เจ้าทิ้งมันไปหมดแล้วเหรอ


"เพราะพี่ไอแวนกับพี่เมริดิธไปเรียน ถ้าอย่างนั้นพี่โทไบอัสคนนี้ก็จะคอยดูแลพวกเจ้าเองนะ"


ไหนว่าเพื่อเป็นตัวอย่างให้เด็กพวกนั้นเห็น เจ้าจะไม่ยอมแพ้ ไม่ท่อถอยยังไง

ไหนบอกว่าจะทำตามที่สัญญาเอาไว้จนกว่าจะถึงวันที่กลับมาพบกันอีกครั้งไม่ใช่เหรอ

เจ้าโยนเด็กพวกนั้นทิ้งไปแล้วเหรอ น้องๆของเจ้าน่ะ


"อยากจะร้องก็ร้องมาเถอะ การร้องไห้ไม่ได้ทำให้พวกเจ้าเป็นคนอ่อนแอซักหน่อย"


หัดมองไปรอบตัวซะบ้างนะโทไบอัส



กำลังทำอะไรอยู่นะ...ตัวของข้า....


"ทำไมข้าถึงไม่ร้องไห้น่ะเหรอ.. ก็...ถ้าข้าร้องแล้วพวกเจ้าจะกล้าร้องรึไง"

"ไม่เป็นไรหรอก พี่จะเข้มแข็งเพื่อพวกเจ้าเอง"


....เพราะอย่างนั้น....



"ร้องซะให้พอ อ่อนแอจนกว่าจะพอใจ...แล้วจงเข้มแข็งขึ้นไป ให้มากกว่าที่พี่เป็น"


....ข้าจะต้องไม่ยอมแพ้อยู่แค่นี้....

..ต้องไปต่อ..




"...พี่ขอโทษ..."


ต้องไปต่อ...



จนกว่าตัวของข้าจะ.....




4.

ตอนที่แพ้ ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเองข้ารู้ดีว่าหลายคนก็ต่างผิดหวังในตัวของเขาเพราะข้าที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้กลับแพ้ลงอย่างง่ายดาย ถึงจะตรึงฝีมืออีกฝ่ายไว้ได้นานกว่าที่คิดแต่ก็ยังนานไม่พอ

แต่สิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมากที่สุดก็คือคำที่ข้าเคยสัญญาไว้กับซาญีร่า...อาจารย์ของข้า


"ข้าจะไม่แพ้ใครจนกว่าจะได้พบกับท่านอีก ข้าจะแข็งแกร่งว่าท่านให้ได้ ข้าสัญญา"


คำสัญญาที่รักษาไม่ได้ของข้า....ข้าจะแก้ไขมันอย่างไรดี




5.

ก็น่าแปลกดี...หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่สู้กับพวกปี5มาพักนึงเขาก็นึกถึงเซญีร่า อาจารย์ของเขาชอบที่จะกอดแล้วก็เอาแก้มมาถูไถ นางชอบบอกเขาเสมอว่าหากไม่เคยแพ้ก็จะไม่รู้ถึงคำว่าชัยชนะ


จะว่าไปตอนนี้เขาก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไม เพราะพอได้แพ้ซักครั้งก็ถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอมากแค่ไหน พอได้แพ้ซักครั้งก็ได้รู้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมาก


พอได้แพ้...เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองผิดหวังในตัวเองมากยังไง

สิ้นหวัง...มากแค่ไหน


แต่เพราะคำพูดของเซญีร่า...คำพูดของนางนววันนั้นได้ฉุดเขาเอาไว้


คำพูดในวันที่เขาได้เอ่ยคำสัญญาบอกับนางเมื่อห้าปีก่อน คำสัญญาที่ตัวเขาได้ลืมเลือนมันไป


"ข้าจะไม่แพ้ใครจนกว่าจะได้พบกับเจ้าอีก ข้าจะแข็งแกร่งว่าเจ้าให้ได้ ข้าขอสัญญา"


"เป็นไปไม่ได้หรอกโทบี้ ถ้าเจ้าไม่เรียนรู้ที่จะแพ้ เจ้าก็ไม่อาจจะเรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้หรอกนะ" ซาญีร่าหัวเราะเสียงใส มันฟังดูก้องกังวาลอยู่ในความทรงจำ "กว่าที่ข้าจะมาเป็นอาจารย์เจ้าได้ ข้าน่ะแพ้คนโน้นคนนี้มาเป็นร้อยครั้ง" ดวงตาที่เธอมองเด็กชายตรงหน้านั้นอ่อนลง เธอลูบผมของเขาแผ่วเบา "เจ้าโตไปยังไงก็ต้องเก่งกว่าข้าอยู่แล้ว แต่จำไว้นะ...ถ้าไม่รู้จักคำว่าแพ้ เจ้าก็จะไม่มีวันเติบโต และจะไม่มีวันเข้าใจถึงชัยชนะที่แท้จริง"

"อนาคตเจ้าจะเข้าเอดินเบิร์กใช่ไหม ที่นั่นน่ะมีคนมากมายที่เก่งกว่าข้าและอาจจะเก่งกว่าเจ้า.. แต่จะไม่มีใครที่เก่งที่สุดหรือห่วยที่สุดหรอกนะหรอก"

ใช่..นางเคยบอก

"เพราะว่าทุกคนจะผลัดกันแพ้และชนะ ที่นั่นเจ้าจะพบทั้งเพื่อนทั้งศัตรู แต่ทุกคนต่างก็จะเป็นคู่แข่งของเจ้า.. มันสนุกมาก ถ้าเจ้าได้เข้าเรียนเจ้าก็จะเข้าใจเอง"

"จำคำพูดของท่านอาจารย์คนนี้ของเข้าไว้ให้ดีละพ่อเด็กน้อย"

พูดแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่นิ้วเรียวจะจิ้มเข้าที่หน้าผากของลูกศัษย์เพียงคนเดียว เซญีร่าอ้าแขนกอดเด็กชายที่อ่อนวัยกว่าเอาไว้แน่นเป็นครั้งสุดท้าย

"เป็นสาวเป็นนางมาเที่ยวกอดผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง!" เขาโวยวายใส่นางไปแบบนั้น ทั้งที่ในวันนั้นตัวเขาเองก็อยากจะกอดตอบใจจะขาด แต่เขาก็ไม่ได้ทำมันลงไป...ทั้งที่เป็นวันสุดท้าย

"ฮิๆ แหมๆ เขินเหรอจ๊ะ เขินเหรอจ๊ะ.. ตายแล้วน่ารักจังเลย ขนาดข้ากอดเจ้าแบบนี้มาสองปีเจ้าก็ยังเขินข้าอยู่เลยเหรอเนี่่ย" ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เซญีร่ากอดลูกศิษย์ของนางแน่นขึ้นไปอีกโดยไม่สนว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่ เธอถูแก้มตัวเองเข้ากับแก้มนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวทำให้ใบหน้าของเด็กชายแดงขึ้นยิ่งกว่าเดิม "แต่เสียใจด้วยนะ พี่สาวคนนี้ชอบคนอายุเท่ากันหรือแก่กว่า เด็กกว่าหลายปีพี่สาวคงหลงรักไม่ได้หรอกจ้ะ"

เขานิ่งเงียบในขณะที่เธอยิ้มจนตาหยี

"งั้นเราต้องต้องลากันตรงนี้แล้วละ" ในที่สุดเธอก็ชิงพูดขึ้นมา มือบางที่หยาบกร้านลูบหัวเด็กที่เธอรักเหมือนน้องแท้ๆเป็นครั้งสุดท้าย "ไว้สิ้นปีข้าจะส่งของขวัญมาให้ เจ้าจะต้องชอบมันแน่ๆ"


นางเพียงแค่ยิ้ม..ด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยกว่าปกติ "ลาก่อนนะโทบี้"




"แล้วพบกันใหม่ในซักวัน...ท่านอาจารย์"



...ลาก่อนเซร่า....





--------------------------------------

สรุปปีนี้แบบง่อยๆ…

  • บีบคอวอร์ริคมา ทั้งที่อีกฝ่ายชวนไปปิคนิคแท้ๆ แต่สุดท้ายก็มีเรื่องกัน...โดนจี้จุดเข้าแล้วคุมตัวเองไม่ได้เลยบีบคอซะ… วางได้ได้ ริคยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ดีที่ป้อมอัศวิน
  • ในกระดาน ปราการฯ vs ปราสาทฯ สู้กับธีโอมา..ชนะ แต่ก็ได้แผลที่ไหลกับช่วงแขนมาพอดู
  • ในกระดาน ปราการฯ vs แผ่นดินฯ ลงเป็นคนเดินหมาก พูดจากระทบใจลิเลียนเล่น
  • ในกระดาน ปราการฯ ปี2 vsปราการฯ ปี5 ชนะเบี้ยรุ่นพี่ และแพ้ให้กับบิชอป
  • เจ้าตัวเจ็บใจมากที่แพ้ให้กับคนรุ่นเดียวกัน แล้วก็นั่งคิดว่าเพราะตัวเองเข้าเรียนทีหลังหรือเพราะยังพยายามไม่พอเลยไล่ตามไม่ทัน
  • เฟลไปพักนึง แล้วก็คิดว่าควรจะต้องหัดควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองให้จริงจัง และต้องพยายามที่จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย
  • พอนึกถึงอาจารย์ขึ้นมาก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้ง เหมือนกับได้เตือนตัวเองว่าการที่เราแพ้มันจะทำให้เราก้าวต่อไปได้นะ
  • ปลายปีไปจับเอ็ดการ์สักมา.. เอ๊ย เขามาขอ


Talk

ถ้าอ่านแล้วงงมากก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ สติคนเขียนช่วงนี้มาเป็นระยะเหมือนหลอนไฟกระพริบในหนังผี

ปล. สำหรับคนที่ไม่รู้.. นิสัยของโทไบอัสอย่างทุกวันนี้ส่วนหนึ่งคือติดมาจากเซญีร่าทั้งนั้นเลย ทั้งเรื่องชอบกอด ชอบยีหัว แซวคนเล่น เฮฮาลัลล้า ทำตัวฉาว(...) และอื่นๆอีกมากมายบานตะไท…ได้จากอาจารย์มาทั้งนั้นจริงๆ..