Saturday, September 19, 2015

[ToB] [O] Event 1.1: One Step Forward..

@Secret_Sweets



0.

ตั้งแต่เกิดมา ข้ามักใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่หลังกระจกในร้านขายตุ๊กตาของแม่ มองดูคนภายนอกเดินผ่านไปมา มองดูรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กวัยเดียวกันจากที่ตรงนั้น..

ข้าเฝ้ามอง..และไม่เข้าใจ

เหตุใดแววตาของพวกเขาถึงได้สดใสยิ่งกว่าลูกปัดสี
เหตุใดรอยยิ้มเหยียดกว้างเหล่านั้นถึงช่างดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าพระอาทิตย์บนท้องฟ้า..
เหตุใดพวกเขาจึงดูส่องประกาย ระยิบระยับเสียเหลือเกิน..

เหตุใดพวกเขาถึงต่างจากข้า….
….ต่างจาก 'พวกเรา'


ด้วยความไม่เข้าใจ ข้าจึงเอ่ยปากถามไวล์ลี... พี่คนรองของข้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม เขาฉุดมือพาข้าเดินผ่านกำแพงหิน ผ่านผู้คนจนไปถึงที่ทำงานของท่านพ่อ


"ยิ่งสดใสมาก ก็จะยิ่งหม่นหมองง่าย"


ไวล์ลีกอดข้าเอาไว้ ชี้ชวนให้ข้ามองดูชายคนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้าท่านพ่อ

ดวงตาคู่นั้นไร้ประกาย มันซีดจางและว่างเปล่าเหลือเกิน


"เพราะเขาตายแล้ว" ข้าเงยหน้าบอกพี่ กระพริบตาด้วยความสงสัยว่าทำไมไวล์ลีถึงพาข้ามาที่นี่ ถ้าท่านแม่รู้ขึ้นมาคงไม่ชอบใจแน่ๆ

"สักวันทุกคนก็จะเป็นแบบนี้" ไวล์ลีโยกตัวข้าไปมา รอยยิ้มของเขาไม่เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยนไปเหมือนกับแววตา...เหมือนท่านพ่อ เหมือนเชส... แต่ต่างจากท่านแม่ รอยยิ้มของไวล์ลีเหมือนหน้ากาก ต่างกันแค่มันถูกเย็บติดใบหน้าของเขา แต่ข้าก็ไม่เคยรังเกียจ "ทั้งเจ้า ทั้งข้า"

"หมายถึงตายน่ะเหรอ"

"ใช่แล้ว" เขาลูบหัวข้า แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ

"ถ้าตายไป พวกเราจะมีคนร้องไห้ให้พวกเราไหม... จะมีคนหัวเราะใส่รึเปล่า" ข้ามองไวล์ลี จับแขนเขาที่กอดคอข้าเอาไว้ "พวกเขาจะเยาะเย้ยเราไหม.. พวกเขาจะจดจำเราได้รึเปล่า"

"นั่นสินะ" ไวล์ลีทำท่าคิด แต่ข้ารู้ว่าเขามีคำตอบอยู่แล้ว.. พี่ชายหมุนตัวข้าให้มองเขาก่อนที่เขาจะนั่งชันเข่าเพื่อเงยมองข้า และจับมือข้าเอาไว้ "แต่เรื่องนั้นเจ้าจะไปสนใจมันทำไมกัน ชีวิตของพวกเรามีไว้ก็เพื่อตาย และความตายก็คือความสงบ.. เจ้าจะไปสนใจทำไมว่าจะเกิดอะไรต่อจากนั้น เพราะพวกเราจะไม่รู้สึกอะไร... ไม่ว่าพวกเขาจะว่าอะไร พวกเราก็จะไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว"

"แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าถ้าตายไปแล้วจะไม่รู้สึกอะไร" ข้าสวนคำถามกลับไป "แล้วทำไมพี่ถึงไม่สนใจว่าถ้าพวกเราตายไปแล้วคนอื่นเราจะมองพวกเราแบบไหน พวกเขาจะรู้สึกยังไง แบบนั้นมันน่าเศร้าเกินไปไม่ใช่เหรอ"

รอยยิ้มของไวล์ลีเหยียดออก แต่ข้ามองเห็นเงาของตัวข้าฉายชัดในดวงตาคู่นั้น

เหมือนกับกระจก

อารมณ์ของข้าถูกสะท้อนออกมาให้เห็น แต่อารมณ์ของพี่นั้น...ไม่มี

"เพราะพวกเราไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนั้น"

คำพูดของพี่...เหมือนคำพูดของท่านพ่อ พวกเราไม่ใช่คนตัดสินความเป็นความตายของใคร แต่พวกเราคือผู้ตัดชะตาของคนเหล่านั้น...แต่ไวล์ลีนั้นตลกร้าย มันไม่มีทางที่คำพูดจะจบลงเพียงเท่านั้น


ไวล์ลีพยักเพยิดไปที่ศพไร้หัว ตาคู่นั้นเหมือนกำลังมองพวกเรา เหมือนกำลังฟัง..กำลังให้ความสนใจ

"ใบหน้าของชายคนนั้นแสดงความเจ็บปวดอยู่อีกไหม"

"ไม่"

"เขาดูเหมือนมีความรู้สึกอยู่อีกไหม"

"....ก็ไม่"

"ใช่ไหม.. แล้วเจ้าจะไปสนใจทำไมว่าคนอื่นจะมองเจ้ายังไง" แล้วพี่ก็จิ้มนิ้วแรงๆกับหน้าผากของข้า "มีแค่สายตาที่เจ้าใช้มองตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้วละออริออน"





1.

ตอนที่ยังเด็ก ข้าชอบที่จะเกาะกระจกหน้าต่างและทอดสายตามองไปด้านนอก

มองผู้คนที่แย้มยิ้มกันอย่างมีความสุข
มองดูเด็กวัยเดียวกันหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

ข้ามองดูพวกเขาอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะก้าวเท้าออกจากร้านไปหา
และพวกเขาก็ดูจะมองไม่เห็นข้า..

เพราะอย่างนั้นข้าจึงทำเพียงเกาะกระจกมองอยู่แบบนั้น...และรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาที่พี่ๆเดินทางกลับมา

....

"พี่...เพื่อนคืออะไรเหรอ"

ครั้งหนึ่งข้าเคยถามคำถามนั้นตอนอยู่กับเชสสองคน มีไม่บ่อยนักที่พวกเราจะได้อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีไวล์ลี...หรือไม่ก็มีแค่ไวล์ลีแต่ไม่มีเชส แต่เพราะแบบนั้นข้าเลยยิ่งต้องถาม เพราะคำตอบของทุกคนจะไม่เคยตรงกัน แต่ถ้าไวล์ลีอยู่ด้วยเชสก็จะปล่อยให้ไวล์ลีพูดเพียงคนเดียว


พี่ชายคนโตของข้าเพียงแค่เลิกคิ้วประหลาดใจ พี่ยังไม่ได้พูดอะไรแต่ข้าก็รู้ว่าพี่กำลังรอให้ข้าอธิบายว่าทำไมข้าถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา

"เพราะข้าได้ยิน"

ข้าเริ่มเล่าในขณะที่มือยังไม่หยุดจัดการกับตุ๊กตาที่กำลังเย็บอยู่ "เมื่อเช้ามีคนเข้ามาซื้อตุ๊กตาในร้าน เขาบอกจะเอาไปให้เพื่อนในวันเกิด" ข้าเย็บตาของมันเข้ากับเนื้อผ้า กระดุมสีส้มมันวาวถูกเย็บติดบนผ้าที่จะใช้ทำเป็นหัว

"มีหลายคนพูดถึงคำว่าเพื่อน ข้าเลยลองเปิดหาหนังสือดู แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ"

"แล้วในนั้นเขียนว่ายังไง"

"เพื่อน หมายถึง ผู้รักใคร่ชอบพอกัน ผู้สนิทสนมคุ้นเคยกัน" ข้าตอบเขา ดึงเข็มให้ด้ายตึงแล้วขยับมืออีกครั้ง "ในหนังสือบอกว่าเพื่อนมีหลายแบบ ข้ารู้ว่าเพื่อนคือคนที่วิ่งเล่นด้วยกันแบบเด็กๆข้างนอกร้าน แต่ที่ข้าไม่รู้คือทำไมข้าถึงมีไม่ได้"

เชสนิ่งเงียบไปนานอย่างใช้ความคิด พี่ชายลูบผมข้า "เพราะสึกกวันนึง เพื่อนๆนั้นจะทำให้เจ้าเสียใจ"

"ข้าไม่เข้าใจ...ไวล์ลีก็มีคนที่มาหา พี่เองก็มีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ คนที่ชวนพี่ออกไปข้างนอกน่ะ"

"พวกเราเป็นเพชฌฆาตออริออน" เสียงของเชสสงบนิ่ง ในขณะที่ข้าเผลอปักเข็มเข้าไปในนิ้วมือของตัวเอง เขายื่นมือขอดู "เจ้ายังเด็ก จิตใจเจ้ายังไม่มั่นคง...เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงไม่สมควรจะมี"

"มันเกี่ยวอะไรด้วย" ข้าส่งมือให้พี่หลังจากดึงเข็มออก เชสไม่พูดอะไรนอกจากลุกไปหยิบพลาสเตอร์และเดินกลับมา

"เจ้ากล้าตัดคอคนพวกนั้นไหม"

"...ข้า.."

"ข้ากับไวล์ลี ต่อให้คุยกับคนพวกนั้นมากขนาดไหน ต่อให้พวกเรามีความสุขกันมากแค่ไหน แต่ถ้าพวกเขาถูกส่งมาที่ลานประหารพวกข้าก็พร้อมจะตัดด้ายชีวิตของพวกเขา"

ข้ามองเลือดที่หยดลงบนโต๊ะไม้ ปิดปากและนิ่งเงียบ

"มนุษย์ไม่ใช่ตุ๊กตา" พี่ชายยังคงพูดต่อไปขณะที่นั่งทำแผลให้ข้า "ต่อให้เจ้าตัดหัวตุ๊กตาไปมันก็ยังเย็บต่อกันได้ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่.. ถ้าเจ้าตัดหัวพวกเขา ต่อให้เจ้าจะพยายามต่อหัวใหม่อีกกี่ครั้งพวกเขาก็จะไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดคุยกับเจ้าได้อีก เพราะพวกเขาตายไปแล้ว และชีวิตจะไม่มีวันถูกเรียกกลับคืนมา"

"พวกเราเป็นเพชฌฆาตนะออริออน การหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด การผูกพันธ์มากเกินไปจะทำให้เป็นทุกข์" พี่มองข้า...แววตาของพี่นั้นอ่อนลง "เจ้าต่างจากพวกข้า เจ้าเฝ้ามองผู้คน เจ้าเฝ้าสังเกตอารมณ์ของพวกเขา.. เจ้าโหยหาในคนเหล่านั้น แต่พวกข้าไม่อยากเห็นเจ้าเสียใจ"


คำของเชสทำให้ข้าคิด...ทำให้ข้าเริ่มตั้งคำถาม

ครั้งหนึ่งนั้นพี่เคยฆ่าเพื่อนตัวเองไหม พี่เคยตัดคอพวกเขารึเปล่า
แล้วหากพี่เคย พี่เสียใจบ้างไหม พี่ร้องไห้บ้างรึเปล่า
ข้าอยากจะรู้ว่าพี่รู้สึกแบบไหน รู้สึกยังไง

แต่สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ถามพี่ออกไป เพราะข้ากลัวกับคำตอบที่ตัวเองจะได้ฟัง


แต่...


"ข้าก็แค่เหงา"

ข้าบอกพี่ เสียงของข้าเบาจนแม้แต่ตัวเองก็ยังแทบไม่ได้ยิน ไหล่ข้าห่อลง ข้าก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา...ข้ากลัวว่าพี่จะดุข้า เพราะข้ารู้ว่าพี่ห่วง..แต่ข้าก็ยังอยากที่จะมี

"อีกไม่นานพี่ก็จะไปเรียนที่เอดินเบิร์กแล้ว ปีต่อมาไวล์ลีก็จะตามพี่ไป...แล้วข้าก็จะอยู่คนเดียว" แต่พอได้พูดแล้วข้าก็หยุดไม่ได้ หยุดไม่ได้อีกแล้ว "พวกพี่ทิ้งข้าไว้ที่นี่ ท่านแม่ไม่ให้ข้าออกไปไหน ท่านพ่อเองก็ไม่อยากให้ข้าผูกพันธ์กับใครมากเกินไป ตุ๊กตาพวกนี้คุยกับข้าไม่ได้.. แล้วพี่จะให้ข้าทำยังไง.....!"

"ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น"

คำตอบของเชสทำให้ข้าหยุดชะงัก ข้ารู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอุ่นๆของเขาที่กอดข้าเอาไว้ เขาลูบหัวข้าอย่างเบามือ มันทำให้ข้าอยากร้องไห้

"ข้ากับไวล์ลีจะไปที่เอดินเบิร์ก และเจ้าก็อยู่ช่วยแม่เย็บตุ๊กตาที่นี่" ข้าเงยมองพี่...ข้าเห็นรอยยิ้มอยู่ในดวงตาคู่นั้น รอยยิ้มของพี่ที่หาได้ยากเหลือเกิน


"แล้วซักวันนึง..พวกข้าจะมาพาเจ้าไปเรียนด้วยกัน"


2.

ผ่านไปหกปี และเชสก็ทำตามสัญญา พวกเขามาหาข้า บอกว่าจะพาข้าไปที่เอดินเบิร์ก

"เอดินเบิร์ก" ข้าทวนคำขณะมองพี่ๆที่ไม่ได้พบหน้ามานาน พวกเขาไม่ต่างจากเดิมนักนอกจากส่วนสูงและบางอย่างที่เปลี่ยนไป..บางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าคืออะไร

"ใช่ ถึงความจริงปีหน้าเชสก็จะจบแล้ว และปีต่อไปก็ตาข้า แต่ข้าว่ามันก็คงดีใช่ไหมที่เจ้าจะได้เจอกับอะไรใหม่ๆบ้างน่ะ" ไวล์ลีเท้าคางกับโต๊ะก่อนเอื้อมมือขยี้หัวข้าจนยุ่งเหยิง "พวกข้ารู้ว่าการที่พ่อกับแม่เก็บเจ้าอยู่แต่ในบ้านเพราะความเอาแต่ใจของสองคนนั้นมันก็คงไม่ช่วยอะไรเจ้าหรอก เป็นเด็กผู้ชายมันก็ต้องทำอะไรที่มันห่ามๆกันบ้างซักครั้งในชีวิตใช่ไหมละ"
ข้านั่งฟัง ก่อนหันไปมองเชสที่ยกกาแฟขึ้นจิบ พี่ชายพยักหน้าให้ข้า


"สัญญาเป็นสัญญา ข้าบอกแล้วว่าพวกข้าทำได้"

"พวกเขาให้ข้าไปเหรอ" ข้าสงสัย แต่หัวใจข้ากำลังเต้นแรง..แรงขึ้น และแรงขึ้น

"ให้ไม่ให้ พวกข้าก็หาเงินจ่ายให้เจ้าไปเรียนได้ก็แล้วกัน" ไวล์ลีเปลี่ยนท่านั่ง เขายักคิ้วให้ข้า "สิบห้าแล้วนะออริออน ถึงพวกเราควรวางตัวให้เหมือนหุ่นกระบอกที่มีไว้เพื่อตัดหัวคนตามรับสั่ง แต่เจ้าก็ควรจะหัดแสดงสีหน้าให้มากกว่านี้ อย่าเอาแต่หน้าตายเหมือนเชสไปหน่อยเล-... โอ๊ย! พี่!!"

เชสวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะ เขาไม่สนใจไวล์ลีที่ลูบหัวตัวเองปอยๆ

"แต่จำไว้นะออริออน"

ข้าเลิกคิ้วมองเขา

"เจ็ดปีที่นี่ก็เหมือนกับภาพลวงตา มันจะเหมือนเป็นเพียงแค่แค่ฝัน.." พี่ดูจริงจังขึ้นตอนที่พูดเรื่องนี้ "เจ้าอย่าวางตัวสนิทกับคนอื่นมากเกินไป และเจ้าก็ไม่ควรให้พวกเขาเข้ามายุ่งกับเจ้ามากเกินไปด้วยเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะตัวเจ้าเอง.. อนาคตไม่แน่นอน และ..."


"พวกเราอาจจะต้องฆ่าพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าพวกเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดสาหัสในทริสทอร์" ข้าต่อประโยคนั้น เชสพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้ไวล์ลีไปหยิบหนังสือปีหนึ่งมาให้ข้า

เมื่อไวล์ลีเดินออกไปแล้ว เชสก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างข้า พี่เริ่มเล่า

"ปีแรกที่ข้าไป..ไม่มีใครไปกับข้าเลย พ่อทิ้งข้าด้วยซ้ำตอนที่รู้ว่าข้าผ่านการสอบ" แววตาของพี่นั้นอ่อนลง ข้ามองเห็นความรู้สึกมากมายในดวงตาคู่นั้น เป็นความรู้สึกที่หลากหลายเหลือเกิน "ข้าไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกจากโรงแรมที่พ่อจองไว้ให้ ข้าควรจะไปเริ่มต้นซื้อของที่ตรงไหน ตอนนั้นมีคนเยอะมาก" แล้วพี่ก็กดเสียงต่ำลง เหมือนกำลังกระซิบ "แล้วก็มีคนกลุ่มนึงเดินมาหาข้า พวกเขาบอกเห็นข้าอยู่ตรงนี้มานานเลยคิดว่าข้าหลง สุดท้ายพวกเราก็ไปด้วยกัน"

"น่าเสียดายที่ตอนประกาศหอพวกเราแยกกันไปคนละทาง แต่เพราะแบบนั้น..หลังจากนั้นก็เลยมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าพยายามจะถอยออกห่างจากพวกเขา..แต่มันก็ค่อนข้างลำบาก"

พี่ยิ้มให้กับข้า "ถึงซักวันเจ้าจะกลับมาพบกับความเป็นจริง ถึงซักวันเจ้าจะกลับมาจับขวานอีกครั้ง แต่กว่าจะถึงวันนั้น ก็ลองเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเอง คำว่าเพื่อนที่เจ้าต้องการจะมีนักหนา และคำสอนที่พวกข้าคอยเตือนเจ้าเสมอ เรียนรู้มันด้วยตัวเอง กำหนดมันด้วยตัวเอง และเลือกมันด้วยตัวเอง.. ประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญเสมอจริงไหม"

"และเพราะเจ้าเป็นน้องชายที่พวกข้ารักมากที่สุด พวกข้าจึงอยากจะเห็นเจ้ายิ้มได้กับทางที่เจ้าเป็นคนเลือกเอง"


3.

ตอนนี้รอบตัวของข้าเต็มไปด้วยผู้คน และผู้คนเหล่านี้ต่างก็เต็มไปด้วยชีวิต…

ที่นี่คือเอดินเบิร์ก สถานที่ที่ถูกเรียกว่าประเทศจำลอง..ที่ตั้งของโรงเรียนพระราชาอันแสนโด่งดัง
และเป็นที่ที่ข้าจะต้องอาศัยอยู่ต่อไปอีกเจ็ดปี...


ที่นี่ต่างจากบ้าน เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหมือนเลยแม้แต่น้อย

คนที่นี่พลุกพล่านละลานตา การแต่งกายนั้นแตกต่างกันจนบางทีก็ดูแปลกประหลาด


แต่เพราะแบบนั้นข้าถึงได้สนใจ


ตอนนี้เชสกำลังต่อแถวเพื่อรอกรอกใบสมัคร ส่วนไวล์ลีนั้นนั่งอยู่ข้างข้า เขาไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไร และไม่ได้ออกไปพบปะคนวัยเดียวกัน เขาทำแค่นั่งๆนอนๆอยู่ในเกวียน อ่านหนังสือ กินขนม แต่แล้วเขาก็หันมาให้ความสนใจกับข้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“ทำไมถึงเป็น ช่างทำตุ๊กตา” เขาถาม “เพชฌฆาตอย่างพวกข้าไม่ดีตรงไหน” ข้ารู้สึกว่าเขากำลังน้อยใจ

“ท่านแม่บอกให้ใช้” ข้าตอบสั้นๆ ยังคงมองโน่นนี่ไปเรื่อย รู้สึกทุกอย่างรอบตัวนั้นแปลกตาไปเสียหมด และพอข้าไม่ได้พูดอะไร ไวล์ลีก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พวกเราต่างคนต่างเงียบก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนมาถามเขากลับบ้าง

“นี่.. พี่คิดว่าถ้าเป็นช่างทำตุ๊กตาแล้วข้าจะหาเพื่อนได้ไหม”

"เจ้ายังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกเหรอ" ไวล์ลีกลอกตา เขากลิ้งไปอีกทางก่อนจะหยุดอยู่ในท่าหันหลังให้ข้า "ไม่ว่าเชสจะพูดอะไรกับเจ้า ข้าไม่สนับสนุน"

"..ทำไม"

"เพราะเจ้าจิตใจอ่อนแอเกินไป ถ้ามีเพื่อนจริงๆ เจ้าต้องจับขวานไม่ได้แน่ๆ" คำพูดของไวล์ลีทำให้ข้านิ่งเงียบ "ไม่ใช่ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าเป็นช่างทำตุ๊กตาแบบท่านแม่..ถ้านั่นเป็นทางที่เจ้าเลือก แต่ไม่ว่าเจ้าจะเลือกเป็นอะไรเจ้าก็หนีอาชีพของตระกูลไม่พ้น และเพื่อนจะทำให้เจ้าอ่อนแอ"


"พี่พูดเหมือนพี่ไม่มี..."


คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ ไวล์ลีเพียงแค่ส่งเสียง ฮึ ในลำคอเหมือนคนกลั้นหัวเราะ เขาก้าวลงจากเกวียนเป็นเวลาเดียวกับที่เชสก้าวขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรกัน เสียงประกาศเรียกชื่อของข้าก็กระหึ่ม


"ออริออน ราฟาเล ช่วงทำตุ๊กตาแห่งทริสทอร์!"


....


ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้ ฝั่งตรงข้ามข้าคือคนคุมสอบ.. ข้าก้มหน้ามองพื้น ก่อนเงยหน้ามองเพดาน เชสเคยบอกว่าเขาถามนั้นเหมือนเดิมทุกปี แต่การตัดสินนั้นไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ามันจะประกาศทีหลัง..ซึ่งมันก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลย


"ถ้าเป็นกษัตริย์ เจ้าจะถือหรือสวมอะไรเป็นอย่างแรก"

"แต่ข้าไม่อยากเป็นกษัตริย์นี่.." ข้าขมวดคิ้วกับคำถามนั้น ก่อนจะนั่งห่อไหล่เมื่อรู้สึกเหมือนโดนผู้คุมสอบจ้องแกมบังคับให้รีบตอบ ข้าแกว่งขาไปมา ยกมือที่ใส่แหวนขึ้นมอง "...คงจะแหวน เพราะของเล็กๆมันหล่นหายง่าย มงกุฏ ดาบ หรือคทามันหายยาก สะดุดตากว่า.. ของที่ใส่ติดตัวตลอดควรเป็นของที่สวมอย่างแรกนะ แล้วแหวนมันติดนิ้วด้วย”


ข้าไม่อยากเป็นกษัตริย์จริงๆ ข้ารู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ แต่เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้ไม่อยากจะเป็น


"แล้วสัญลักษณ์ความเป็นกษัตริย์ของตัวเองละ"

"ดาบ" ครั้งนี้น้ำเสียงของข้าดังชัดต่างจากเมื่อครู่ ข้าเปลี่ยนมานั่งเท้าแขน บังคับตัวเองให้มองไปอีกทางทั้งที่เสียงหัวใจในอกนั้นมันดังรัว

"กษัตริย์มันเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ใช่ไหมละ แล้วหน้าที่นั้นมันก็ต้องดูแลประชาชน ปกป้องประชาชน ข้าเลยว่าดาบน่ะเหมาะที่สุด มันเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง จะช่วยชีวิต ไว้ชีวิต หรือพรากชีวิต...มันก็ได้ทั้งนั้น เป็นความเมตตา และเป็นการแสดงถึงความจริงใจ.. แล้วงานข้าก็ต้องใช้อะไรแบบนั้นด้วย"


"สิ่งไหนที่อยากจะมอบให้กับประชาชน"

“ไม้เท้า” ข้าเริ่มเปลี่ยนท่านั่งอีกครั้ง

“ไม้เท้าทำอะไรได้หลายอย่างนะ ไม้ตากผ้า ฟืน ไม้เท้าพยุงตัว สร้างบ้านก็ได้ ทำเบ็ดตกปลาก็ได้ สะดวกดีออก แต่ข้าจะไม่ให้ดาบกับพวกเขา..เด็กดีไม่ควรถือของมีคมนะ” ข้าจุ๊ปาก ไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน แต่ฝั่งตรงข้ามเหมือนจะเงียบไปซักพักก่อนจะถามต่อ


"เวลาที่ต้องทิ้ง เจ้าจะทิ้งอะไรตามลำดับ"

“มงกุฏ เพราะเกะกะ.. ใส่นานๆมันก็หนักหัวเปล่าๆ คทา..ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นกับข้า ต่อมาคือ ดาบ..แต่ข้าจะไม่ยอมทิ้งจนกว่าจะใช้มันจนหักนะ เพราะถึงตอนนั้นคงไม่ได้ใช้อีกแล้ว… สุดท้ายก็แหวน..” ข้ามองมือของตัวเองอีกครั้ง ข้ายิ้มเหมื่อเห็นแหวนในมือ

“ของเล็กๆน่ะมันหายง่าย..ข้าบอกแล้วใช่ไหม เพราะแบบนั้นก็ควรจะเก็บติดตัวไปนานๆ..จนกว่าจะถึงช่วงสุดท้ายสิ”





4.

นี่พี่...

พี่คิดว่า..ข้าจะได้เพื่อนไหมถ้าข้าไม่ใช้ชื่อว่าเพชรฌฆาต
พี่คิดว่าข้าจะเข้ากับคนอื่นได้รึเปล่า
พี่คิดว่าข้าควรจะเข้าหาพวกเขาไหม...

...หรือพี่คิดว่ามันจะดีกว่านี้ถ้าข้าไม่เข้าไปใกล้พวกเขาเลย...


นี่พี่...

ข้าไม่เข้าใจพวกพี่หรอก แต่ข้าก็เชื่อฟังพวกพี่เสมอ
ข้ารู้ว่าหากข้าผูกพันธ์กับใครไป ข้าก็จะต้องเสียใจในอนาคต

และข้าก็รู้...ว่าพอถึงตอนนั้นข้าจะต้องเสียใจ

แต่คนที่นี่ไม่ใช่คนที่แย่ และคนที่นี่ส่วนมากก็ไม่ใช่คนทริสทอร์

เพราะอย่างนั้นมันคงจะไม่เป็นไรถ้าข้าจะยอมให้พวกเขาใช่ไหม
มันจะไม่เป็นอะไรถ้าข้าจะสนิทกับใครซักคนใช่รึเปล่า


นี่พี่…
ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง
ข้ารู้ว่าข้าเป็นน้องคนสุดท้องของที่บ้าน
ข้ารู้ว่าพวกพี่รักข้า...

...ข้าเองก็รักพวกพี่นะ


..แต่ข้าเองก็เหงา...

...ข้าขอลองดูซักครั้งจะได้ไหม กับเส้นทางที่ข้าจะลองเลือกเดินดู

ถึงแม้ข้าจะยังกลัวอยู่
ถึงแม้ข้าจะมีเรื่องไม่เข้าใจอีกมาก
ถึงแม้ซักวันข้าจะพบเจออะไรแย่ๆ

แต่ขอข้าลองดูซักครั้งจะได้ไหม

ที่จะลองก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ข้าเลือกเอง





5.

ปราการปราญช์คือที่อยู่ของข้านับจากวันนี้

ไม่ใช่หอเดียวกับพี่ๆ
เป็นหอของตัวข้าคนเดียว






ก๊อก...ก๊อก..ก๊อก

..เสียงเคาะห้องที่ดังเป็นกิจวัตรนั้นจะดังปลุกข้าทุกเช้า และค่อยก่อกวนข้าทุกเย็น ข้ารู้ว่ามันมาจากใคร และคนทำไปนั้นต้องการยั่วประสาทใคร ถึงมันจะมีดีแค่ในตอนเช้า แต่เสียงบ้าๆนั่นจะไม่หยุดหากข้าไม่ลุกไปเปิดประตู และผู้เคาะจะทำตัวหน้ารำคาญโดยการยกยิ้มกวนประสาทให้ข้า


...เฮมุส ซีก...


ครั้งแรกที่พบกันนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอาย พวกเราพบกันในร้านขายคทา และข้าก็พลาดที่โต้ตอบกับเขา.. ความหงุดหงิดนั้นทำให้ข้าพูดตกประโยคที่ข้าต้องการ..มันช่างน่าอับอาย โดยเฉพาะตอนที่ข้าเล่ามันให้ไวล์ลีฟังทีหลัง พี่ชายของข้าหัวเราะดังลั่นจนใบหน้าข้าร้อนผ่าว


"ข้าจะเป็นคนสุดท้ายของเจ้า"


ความจริงแล้วมันต้องเป็น

"ข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้พูดชื่อของเจ้า" ต่างหาก

น่าอาย...น่าอาย...ช่างน่าอับอาย


แต่ข้าก็คิดว่าพวกเราคงไม่ได้พบกันอีก...


และในอีกไม่กี่วันต่อมา ข้าก็ได้พบว่าพวกเรานั้นอยู่ที่หอเดียวกัน



เฮมุส ซีก... ชายที่ดีแต่ก่อเรื่อง ก่อปัญหา กุข่าวเท็จ ปั่นกระแส

ชายที่ทำให้หอถูกหักธงได้เกือบทุกวัน แต่กลับเป็นชายที่เป็นถึงหนึ่งในหัวหน้าชั้นปี


ไม่ว่าจะเรื่องอะไรความจริงแล้วข้าไม่สนใจเลย ไม่เลยแม้แต่น้อย


หากไม่ใช่เพราะมันมาเคาะห้องข้าตลอดหนึ่งปีเต็ม และก่อกวนข้าทุกคร้ังที่มันพอใจ


.......ข้าจะไม่สนใจเลย ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ข้า ไม่ใช่มัน


ตอนนี้ข้านั้นอยากจะกลับคำพูดของข้าในวันนั้น

คำว่า “เพื่อน” ที่ข้าสนใจนักหนา….ยกเว้นชายผู้นี้ซักคนได้หรือไม่





6.

..แมวตัวนั้นที่อรามิสบอกให้ช่วยไว้..

มันขัดกับความรู้ความเข้าใจของข้า
ความเข้าใจที่ว่า..ความตายนั้นคือสิ่งที่ควรยอมรับ

คือสิ่งที่ควรโอนอ่อนผ่อนตาม...คือสิ่งที่....
เป็นความสงบอย่างแท้จริง

....

เจ้าตัวเล็กตัวนั้นบาดเจ็บหนัก เลือดเต็มตัวเหมือนกับว่าโดนสัตว์ตัวใหญ่กว่าไล่ล่ามากกว่าแค่ตกลงมาจากต้นไม้ ตัวของมันเต็มไปด้วยบาดแผล มันหายใจรวยริน จะขยับตัวเพื่อป้องกันตัวเองก็ยังทำไม่ได้


....มันกำลังจะตาย


และเพราะมันกำลังจะตาย

เพราะอย่างนั้นข้าจึงปลดขวานที่ข้างเอวออกเพื่อที่จะตัดคอมัน..

หากหัวนั้นหลุดไปแล้วมันก็จะไม่มีความรู้สึกอะไรอีก ..เหมือนที่ไวล์ลีเคยบอก ความตายคือความสงบ.. แม้ว่าความจริงหน้าที่ของข้าจะไม่ใช่การตัดสินความเป็นและตายของใคร แต่ในเวลาแบบนี้มันพอจะเรียกได้ว่าความเมตตาใช่หรือไม่?

แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะทันได้ทำอะไร เสียงร้องที่คุ้นเคยก็ดังห้ามข้า
เสียงนั้นหยุดมือข้าไว้


...อรามิส ไนต์...


"ปล่อยไว้ทำไม มันจะตายแล้ว" ข้าเงยมองเขาจากบนพื้น เต็มไปด้วยความสงสัย

แล้วเขาก็เถียงข้า "มันยังไม่ตาย ถ้ายังไม่ตายก็ต้องลองช่วยดูสักตั้งสิ!"


แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ...

มันกำลังจะตาย มันกำลังจะตายแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้อีกไม่กี่ชั่วโมงมันก็ตาย

แต่คนคนนี้บอกให้ข้าช่วย


...แต่ข้าไม่เคยถูกสอนมาให้ช่วยใครแบบนี้...


ความตายคือการปลอดปล่อย..นั่นต่างหากคือการช่วยเหลือ


นั่นคือคำสอนของไวล์ลี...มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ


แต่คนคนนี้กลับบอกให้ช่วย....ข้าไม่เข้าใจ

ทำไม...กับสิ่งที่ไม่น่าจะรอดแบบนี้


ทำไมเจ้าถึงบอกให้ข้าหยุดมือ



"....แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะ......" ข้าเงียบไปแล้วก้มมองร่างบนพื้น ซักพักก็เริ่มห่อไหล่


...ถ้าตายไปแล้วก็จะไม่รู้จึกเจ็บปวดอีกแล้วมิใช่เหรอ เจ้ากำลังจะทำให้มันทรมาน...


แต่ข้าก็กลืนคำนั้นลงไปแล้วอุ้มมันขึ้นมองเขา "จะช่วยได้เหรอ?"


"ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก" อรามิสยื่นมือขอรับเจ้าตัวเล็กนั่นมาดู ข้าลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยันตัวขึ้นแล้วส่งมันให้


"ก็ได้..ข้าจะลองเชื่อเจ้า"

.
.
.
.

แล้วพวกเราก็ช่วยมันได้

เจ้าตัวเล็กนอนเจ็บอยู่นาน แต่อาการณ์มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ช่วยเหลืออะไรบางสิ่ง ช่วยเหลือในรูปแบบของการต่อชีวิตให้


...นั่นเป็นครั้งแรกจริงๆ...

ที่ทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้น กับการต่อชีวิตให้กำลังชีวิตที่กำลังจะหมดลม





7.

บุกปราสาท

เรื่องนี้ถ้ามิลฟอร์ดไม่ขอข้าก็คงไม่ไป

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรข้าถึงยอม ทั้งที่รู้ว่าซีกเป็นคนที่เริ่มเรื่องทั้งหมด
และข้าก็ยังไม่ได้ยอมรับคนเหล่านี้เป็นเพื่อน


แต่อาจจะเพราะมิลฟอร์ดมาขอ..เพราะเขาไม่เคยทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี
และเพราะเขา...เป็นคนดีกว่าที่ข้าคิดไว้

และอาจจะเพราะอย่างนั้น...ตอนนี้พวกเราจึงได้มาขัดกำแพงด้วยกันสี่คน


...


ความจริงการขัดกำแพงนั้นก็ไม่ใช่งานที่ลำบากซักเท่าไหร่ แค่ต้องทำติดต่อกันตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็เท่านั้น แต่ส่วนมากแล้วพวกเราจะอยู่ในความเงียบกันเสียมากกว่า ในเมื่อมิลฟอร์ดนั้นไม่สามารถพูดได้สะดวกเพราะถูกซีกต่อยจนหน้าเขียว ส่วนเชอร์ริคเองก็เหมือนจะกำลังครุ่นคิดอยู่ในหัว และข้านั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ส่วนซีกน่ะเหรอ...ช่างมันเถอะ



ถึงจะมีบางครั้งข้าที่คิดว่ามันดีแล้วเหรอที่ยอมตามมิลฟอร์ดไปในวันนั้น

ดีแล้วเหรอที่ยังคง...เป็นห่วงคนที่ถีบพวกข้าตกลงมาจากบานหน้าต่างสูง

ดีรึเปล่า ที่ยอมฟังเพลงเด็กเล่นของเชอร์ริคที่พยายามสอนให้ข้าจดจำ


การถูกทำโทษครั้งนี้ทำให้ข้าตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นและมากขึ้นทุกที

ข้าอยากเจอเชส..อยากเจอไวล์ลี

ข้าอยากจะถามพี่ๆว่าพวกพี่เคยโดนเพื่อนๆถีบพวกท่านให้ตกลงมาจากหน้าต่างบ้างหรือไม่


ข้าอยากรู้จริงๆ






8.

หนึ่งปีที่ผ่านมาไปไวยิ่งกว่ากระพริบตา

พี่บอกข้าว่าที่ข้ารู้สึกว่ามันผ่านไปไวก็เพราะเรามีความสุขไปกับมัน

ถ้าเช่นนั้นแล้ว...ตัวข้าในตอนนี้กับช่วงเวลาที่อยู่กับคนเหล่านั้นที่นี่คือมีความสุขใช่ไหม

ข้า….กำลังพยายามจะเข้าใจ


...


ในหนึ่งปีมานี้ข้าได้เรียนรู้เรื่องราวที่หลากหลาย

และการมีเพื่อนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แย่ซักเท่าไหร่นัก

เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ข้าได้ค้นพบ


แต่ผู้ที่ใช้คำว่าเพื่อน...มากระทำให้ชีวิตลำบาก
ข้าพบว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำ


"อรามิส ไนต์" และ "เฮมุส ซีก" สองคนนั้นคือคนสอนเรื่องพวกนี้ให้กับข้า


ชายคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มสดใส เจิดจ้า ชายคนนั้นได้ยื่นมือให้กับข้าในวันแรกที่ได้พบกัน

กับ...

ชายอีกคนที่มีท่าทียียวนกวนประสาท ชอบยั่วโมโห เขาทำให้ข้าไม่พอใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ


ทั้งคู่ทำให้ข้าได้เห็นด้านทั้งสองของคำว่ามิตรภาพที่พวกเขาเฝ้ากล่าวถึง และมันช่างสวนทางนักในแง่ของการกระทำ ความรู้สึก และหลายอย่างที่ข้าอธิบายไม่ถูกนัก


เหมือนกับเหรียญที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว

...พวกเขาได้สอนให้ข้าได้รู้

เช่นเดียวกับหลายคนที่ข้าได้พบเจอในสถานที่แห่งนี้

ต่างคนได้สอนให้ข้าเห็นถึงความหมายที่หลากหลายของคำๆนั้น


ในหนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตข้ามากมาย
มีทั้งเรื่องที่ไม่น่าจดจำ และเรื่องที่ข้าไม่มีวันลืม

พวกเขาสอนให้ข้าได้รับรู้....
ถึงเรื่องราวของมิตรภาพ
ถึงความหมายของคำว่าชีวิต
ถึงสิ่งที่คล้ายคลึงในตัวของบุคคล
และถึงความแตกต่างที่ทุกคนต่างก็มีต่างกันไป
พวกเขาได้กล่าวถึงความฝันในอนาคตอันแสนไกล
และถึงความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่แสนงดงา
บางครั้งแม้จะต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน
แต่หลายครั้งที่พวกเขาต่างถอดมันและยิ้มให้กันด้วยไมตรีแสนจริงใจ


คนรอบตัวข้าได้สอนข้าถึงสิ่งเหล่านี้ แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยเพราะต่างคนต่างก็ยังมีสิ่งที่ขาดไปอีกมาก

แต่ทีละน้อย...

ทีละนิด...

มันค่อยๆเชื่อมต่อกันอย่างเชื่องช้า

มันค่อยๆถักทอร้อยเรียงเข้าด้วยกัน


คนเหล่านั้นทำให้ข้ามองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น

พวกเขาทำให้ข้ารับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรับรู้

และทำให้ข้าเชื่อมั่น...ในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน



และพวกเขาเองก็ต่างถูกเติมเต็มด้วยประสบการณ์เหล่านั้น

"แต่มันจะยังคงอีกนาน" ตามที่เชสเคยกล่าวไว้


แต่ทุกครั้งที่เข็มนาฬิกานั้นเคลื่อนผ่าน ดวงตะวันและจันทราต่างกล่าวคำอำลาและได้วกกลับมาใหม่


พวกเราทุกคนต่างก็เปลี่ยนแปลงกันไปอย่างเชื่องช้าในทุกๆวันใหม่ที่พวกเราได้เวียนกลับมาพบกัน






--------------------------------------------------------------------------------------


/กดF5 อะไรนะมีแค่ตอนเดียว!?
เขียนสรุปได้ดี
ทิ้งจังหวะดี ยาวแบบไม่ยืดเยื้อ  
สำคัญที่สุดคือยาวสะใจ    /โดนเตะ
อ่านแล้วเห็นแววหายนะมาแต่ไกล ดีงามเหลือหลาย แต่ถึงเวลาจริงๆ อาจจะไม่ใช่ ยังไงก็ปล่อยให้พี่มโนไปก่อนก็แล้วกันนะ X3
จะรออ่านความเปลี่ยนแปลงในปีที่ 2 และปีถัดๆ ไปนะ! เขียนด้วยล่ะ!! ถ้าไม่เขียนจะสาปแช่งให้บวมขึ้น!!! /โดนเตะ (ถึงจะไม่ได้เล่นแต่ตามดูเว้นท์อยู่ห่างๆนะเอ้อ)
#3By Lynx on 2015-08-01 00:33
ออรี่...เมื่อวานข้าอ่านเรื่องของเจ้าแล้วกรี๊ดเอาหมอนอุดปาก  แต่ไม่มีที่ให้เมนท์ แงงงง ดีใจได้เมนท์แล้ว
(เมนท์ไร้สาระมาก  คือแค่อยากสครีม)
ชอบออรี่มาก  ชอบโม่วเขียนรอบนี้มาก  ภาษางามมาก  ฟิลลิ่งอินมาก  ลำดับดีมาก  ลื่นไม่สะดุดจนจบอย่างสวยงาม  อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจแบบมีเข็มทิ่มตำอยู่ข้างในลึกพอให้เจ็บๆคันๆแต่รู้สึกดี(???) 
นอกจากออรี่จะน่ารักมากๆ (อีกรอบ) ไวลล์ลีกับเชสก็ยังน่ารักมากๆ  เป็นฟิคหนึ่งฟิคที่ทำให้รู้จักทุกคนได้เป็นอย่างดี  ความเห็นของพี่น้องสามคน....ที่จริงๆแล้วไม่มีใครเหมือนกัน  กับงานหนึ่งเดียวที่ต้องสืบทอด  ชอบมาก อยากเห็นทางต่อไปของทั้งสามคนนะ.....
เราจะเฝ้ารอดูต่อไป... O v O
#2By A.A the wolf on 2015-07-30 21:24
แร๊คกี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย    
 /ไม่ๆ 
ออรี่น่ารักกกกกก ฮือออ
#1By Tatsuya★17 on 2015-07-30 14:19





No comments:

Post a Comment