Saturday, September 19, 2015

[ToB] [O] Event 1.3 : Another Side



0.

ปีนี้ไวล์ลีเรียนจบไปแล้ว หมายความว่านับจากนี้ต่อไปอีกห้าปีข้าก็จะต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง ต้องเป็นคนที่คอยย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ถลำลึกไปกับคนรอบกายเพื่อตัวของข้าเอง


ข้าจะทำได้รึเปล่า..


ไวล์ลีไม่เชื่อว่าข้าจะทำได้

ข้าเองก็ไม่เชื่อใจตัวของตัวเองเช่นกัน เพราะตั้งแต่ข้ามาเรียนที่นี่ ข้าได้พบกับผู้คนมากมาย ได้พบประสบการณ์ที่หลากหลาย มันทำให้ข้าลังเลใจ


บางคนยังไม่ค้นพบเส้นทางที่ตัวเองต้องการจะเดิน....พวกเขายังคลำไปตามทางที่มืดบอด...บางคนก็สร้างทางเส้นนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆและหาตัวเลือกอย่างเชื่องช้าไปเรื่อยๆ

เพื่อจะได้หาอนาคตที่เหมาะสม เพื่อจะไม่เสียใจ


บางคนก็มีเส้นทางที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง...มีทางที่กำหนดด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยชี้นำ พวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินได้เสมอและมีทางให้เลือกมากมาย ไม่ต้องทำตามคำสั่งของใครนอกจากตนเอง

เป็นอิสระเหมือนกับนกบนฟ้า...นกที่มีปีกที่จะบิน


แต่บางคนนั้นก็ถูกขีดทางเอาไว้ให้ตั้งแต่เล็ก...พวกเขาแค่มาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเองเหมือนกับข้าที่ได้รับอนุญาตให้มีอิสระเพียงเจ็ดปี ก่อนจะเดินกลับเข้าไปอยู่ในกรอบ ไปทำในสิ่งที่ตนเองควรจะทำ สู่เส้นทางที่ตัวเองเลือกไว้..ที่คนรอบตัวขีดไว้ให้

บางครั้งก็ไม่ใช่เส้นทางที่ต้องการไปซะทั้งหมด

บางคนภาคภูมิใจ

บางคนต้องการจะหนี

บางคนไร้ที่ไป

บางคนยอมรับชะตากรรม

แต่ทุกคนล้วนต้องเดินต่อไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง



ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

เส้นทางของข้าถูกขีดขึ้นมาเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนในวันที่ข้าลืมตาดูโลกในฐานะของราฟาเล่เพชฌฆาตแห่งทริสทอร์ ต่อให้ข้าเปลี่ยนนามสกุลกี่ครั้ง เปลี่ยนอาชีพกี่หนก็ลบความเป็นจริงในข้อนี้ของข้าไม่ได้

เส้นทางของข้าถูกปูด้วยหินสีเทาและแดง เป็นทางที่ข้าน้อมรับไว้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะถูกสอนให้รู้จักความเป็นและความตาย ก่อนที่ข้าจะได้รู้ว่าหัวที่หลุดออกมาจากร่างนั้นไม่สามารถต่อกลับเข้าไปได้

ข้ายอมรับมันแล้ว ข้าไม่ควรจะกลับคำ...


แต่เมื่อข้าได้เห็นเส้นทางต่างๆของคนรอบตัว ข้าก็เริ่มจะลังเลเพราะทางของข้านั้นยิ่งทอดยาวก็ยิ่งหนาวเย็น และหินก้อนเล็กๆพวกนี้ก็ช่างบาดเท้าข้าเหลือเกิน มันน่าเศร้าที่ข้าไม่เคยเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของทางที่เดินมาตั้งแต่เด็ก แต่พอได้มาที่นี่...ข้าถึงได้รู้

ทางของแต่ละคนถูกปูด้วยวัสดุที่แตกต่างกันออกไป พวกมันปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามประสบการณ์ที่คนเหล่านั้นได้รับมา

แต่ทางของข้า...

เอดินเบิร์กทำให้มันสว่างไสว ผู้คนทำให้มันอบอุ่น...ทำให้ข้าหลงระเริงจนลืมตัว กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่มองไปที่สุดปลายทางที่ข้าจำต้องไป สิ่งที่ข้าเคยเห็นชัดเจนมาตลอดกลับดูมืดหม่นลงทันตา


คำสองของท่านพ่อทำให้ทุกอย่างเหน็บหนาวเมื่อหวนนึกถึง...ข้อห้ามที่มากมาย

มันทำให้ข้าถามตัวเองเสมอ เริ่มถามมากขึ้นหลังจากไปผ่านปีต่อปี

ข้าถามตัวเอง...ว่าข้าควรจะกลับไปจริงๆน่ะเหรอ

ควรจะเป็นเพชฌฆาตต่อไปจริงๆน่ะเหรอ

ข้านั้นเหมาะสมกับมันเหรอ...ข้า....ไม่รู้เลย



ตอนที่ข้าอยู่บ้านของ 'อรามิส ไนต์' ตลอดปิดเทอมนั้น พวกเขาสอนอะไรข้าหลายอย่าง และตอนที่ข้าไปบ้านของ 'เฮมุส ซีก' เมื่อปีที่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ข้าได้ค้นพบสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนมากมาย

สิ่งที่ได้พบก็ทำให้ข้ารู้สึกสนุกสนาน..หากมันสามารถเรียกเช่นนั้นได้ ข้าก็รู้สึกสนุกสนานไปกับมัน สนุกจนอยากจะให้เวลานั้นหยุดลง

และที่โรงเรียนแห่งนี้...


ข้าถามตัวเองอีกครั้ง ว่าข้าควรจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังไหม หรือข้าควรจะยอมรับในสิ่งที่เป็นแล้วไปต่อ


แต่ว่า...ข้าคือราฟาเล่

ข้าไม่ได้ถูกสอนให้หนี ไม่ได้ถูกสอนให้เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

ข้ามีหน้าที่ มีเส้นทางของตัวเองที่ถูกขีดไว้ตั้งแต่ต้น


ทั้งที่ข้ามีความคิด มีความรู้สึก มีความต้องการ มีความปรารถนา

แต่เพราะข้าคือราฟาเล่..


ข้าไม่ได้ถูกสอนให้มีสิ่งเหล่านั้น...ข้าไม่ได้ถูกสอนมาอย่างนั้น หน้าที่ต่างหากที่สำคัญที่สุด


ความรู้สึกและความต้องการส่วนตัว ข้าไม่ได้ถูกสอนให้มี

ชีวิตของข้าไม่ใช่ของของตัวข้า ต่อให้ต้องการมากซักเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาข้าก็ต้องละทิ้งมันไป




เวลามันกำลังเดินไปทุกที แต่ชีวิตไม่ใช่นาฬิกา มันเดินเป็นเส้นตรง ไม่ได้วนกลับมาเหมือนเข็มบนหน้าปัด...ไม่มีทางที่เรื่องทุกอย่างจะวนกลับมาซ้ำสอง ข้าจึงต้องคิดให้ถี่ท้วนในแต่ละก้าวที่ข้าเลือกจะก้าวไป..ระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้

และในขณะที่การเดินของเข็มสั้นและยาวนั้นเกือบจะคล้ายคำว่านิรันดร์ เวลาของข้าก็น้อยลงไปในทุกวัน..ทุกวันเช่นกัน


หากจบปีนี้ไปข้าก็จะเหลือเวลาอีกสี่ปี


กว่าจะถึงตอนนั้น...ข้าจะสามารถมองเห็นเส้นทางใหม่ของข้าเองไหม หรือข้าจะยังคงเลือกจะยืนอยู่บนเส้นทางเดิมที่เป็นของข้ามาโดนตลอด

เส้นทางที่ข้าไม่มีวันหนีมันพ้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม




1.

จากข้าถึงเจ้าสิงโต..


เจ้านั่งตรงนั้น ก้มหน้าอ่านหนังสือเหมือนพยายามจะซ่อนตัวจากโลกภายนอก

เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นไม่หันไปมองที่ไหน ทำเหมือนมีสมาธิ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ดวงตาของเจ้าจ้องมองหนังสือ..แต่เจ้าอ่านมันอยู่รึเปล่า

เจ้าสิงโตสีดำ...ที่ทำเพียงก้มหน้าหลบสายตาผู้คน

เจ้าสิงโตตัวนั้น...


ช่างดูหมองหม่นเสียเหลือเกิน




2.

"ไม่เป็นอะไรใช่ไหม"


เบียงก้า เลโมนี่ ลีโอ..


ในสายตาข้า ข้าคิดว่าตัวข้ากับนางนั้นคล้ายกันที่สุด คล้ายมาก..แต่ก็แตกต่างมาก พวกเราสองคนเหมือนเส้นขนานมากกว่าคนอื่นในโรงเรียนนี้ มันชิดใกล้จนเกือบจะเรียกได้ว่าทาบทับ แต่มันก็มีช่องว่างเล็กๆที่ขั้นเอาไว้อยู่เสมอ เป็นช่องว่างที่ถูกขวางอีกทีด้วยกำแพงบางๆที่แข็งแกร่ง

ไม่มีวันที่พวกมันจะทาบกันได้สนิท

อาจจะเพราะราฟาเล่มีนายแค่เพียงหนึ่ง และจะมีเพียงเท่านั้นตราบนานเท่านาน เป็นคำสาบานที่พันผูกจากรุ่นสู่รุ่นไม่แปรเปลี่ยนไป

ในทางตรงข้าม ลีโอมีหลายนาย เปลี่ยนไปเรื่อยตามสัญญาจ้างวาน ไม่ผูกมัดกับผู้ใด มีอิสระในตัวของมัน และมีกรอบที่ถูกตีด้วยตัวของมันเอง


ในความเป็นจริงข้าควรปล่อยนางทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่ควรก้าวก่าย ยิ่งสายการงานที่ใกล้เคียงกันก็ยิ่งทำให้รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดที่ไม่ควร การออกปากเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา

แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะคนร่วมโรงเรียนที่รู้จักกันมานาน ข้าคิดว่าคงปล่อยนางไปไม่ได้


"..เจ้าสับสนอะไรอยู่รึเปล่า"

"เอดินเบิร์กทำให้ข้าสับสน เจ้าก็เหมือนกันรึเปล่า"

ภายใต้คำถามไม่กี่ข้อ ในที่สุดนางก็ยอมรับ มันทำให้ข้ารู้ทันทีว่าสิ่งที่นางกังวลนั้นคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในใจของข้า ไม่ใช่เต็มร้อย แต่มากกว่าห้าสิบ

"เอดินเบิร์กไม่ได้ทำให้สับสนหรอก... เราว่า... ผู้คนที่นี่ต่างหากที่ทำให้สับสน..."

สิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้อง เอดินเบิร์กเป็นแค่สถานที่ที่ทำให้ผู้คนหลากหลายมารวมกัน และคนเหล่านั้นคือคนที่เปลี่ยนพวกเรา ไม่ใช่สถานที่..แต่คือผู้คน

ทั้งที่ในตอนแรกคิดว่าคงจะไม่เป็นอะไร แต่กว่าจะรู้ตัวก็ถลำลึกลงไปจนยากจะถอนตัวเสียแล้ว...


"ปีที่แล้วเป็นปีที่ทรมาน ข้าเสียน้ำตาในกระดานหมากนั่นด้วย.."

ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเพราะเห็นสีหน้าแบบนั้น หรือสิ่งที่ประสบมันคล้ายคลึงกันกระมังข้าถึงได้นั่งคุยกับนางต่อ บอกถึงความรู้สึกของข้า..ที่บางครั้งข้าก็เอ่ยปากบอกใครไม่ได้ "ข้าผูกตัวเองไว้มากกว่าเจ้าแต่ข้าก็ไม่เสียใจ...เจ้าละ เสียใจรึเปล่าที่ได้รู้จักพวกเขา"

"ไม่... เราเป็นคนก้าวเข้าไปผูกเอง... เราเป็นคนที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็เป็นคนกระโดดลงไปในปัญหานั้น... และเราจะไม่ร้องไห้ในเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น..."

"การเสียน้ำตา... ก็เหมือนว่าไม่ยอมรับผลที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้นนั่นแหละ"

ข้านิ่งและรับฟัง รอจนอีกฝ่ายพูดจนจบและคิดตาม

"สเลเยอร์" ข้าเว้นช่วง "กับเพชฌฆาต มันก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่หรอก..."

"สำหรับข้า การได้เสียน้ำตาทำให้ข้ารู้ว่าข้าพลาดไปขนาดไหน และมันเป็นการทำให้ข้าเตรียมใจมากขึ้น มันคือความอ่อนแอที่ข้าจำยอม อาจจะไม่ใช่การยอมรับ..แต่มันถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว ข้าจึงได้ลองเดิมพันกับตัวเอง ต่อให้ต้องพังลงในซักวัน ข้าก็ไม่สนใจ"

แต่ความลังเลในใจของข้ายังคงมีอยู่

การเดิมพันที่มองไม่เห็นหนทางชนะ...ข้าเทเงินพนันจนหมดหน้าตัก

ทั้งที่ยังเลือกเส้นทางไม่ได้ แต่ข้าก็เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าจุดหมายจะเป็นอย่างไร

นางเงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้นมา "...ถึงเราไม่ต้องบอก ออริออนก็คงรู้อยู่แล้วล่ะมั้ง..." มือนางประสานบนตัก เงยหน้ามองท้องฟ้าเหมือนไม่ได้โฟกัสสิ่งใด "...เก็บความรู้สึกนี้ไว้ มันคือความโชคดีเพียงไม่กี่อย่างของฆาตกร..."


"พวกเราต่างก็เป็นฆาตกร..ลีโอ"


ข้าย้ำกับนาง

พวกเราอาบเลือดมาตั้งแต่เกิด มือของพวกเราชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของผู้คนที่พวกเราไม่รู้จัก

พวกเราเหยียบย่ำไปบนร่างไร้ชีวิตที่ทับถมบนทางเดิน กองศพสูงขึ้นตามวันและปีที่พวกเราเติบโต

การคุยกับนางเหมือนกับการย้ำเตือนตัวเอง เหมือนจะบอกให้รับรู้ เหมือนจะปลุกตัวเองให้ตื่น


สถานที่ของข้า...สถานที่ของนาง....มันไม่ใช่ที่นี่

ไม่ใช่


"พวกเราแปดเปื้อนมามากกว่าใคร นั่นเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้... เพราะอย่างนั้นความโชคดีนี้ ข้าจะไม่ยอมเสียมันไปจนกว่าจะถึงวันที่ข้าก้าวออกจากที่นี่..."

"...เราเองก็เหมือนกัน" นางพึมพำตอบเบาๆ

"เพราะอย่างนั้นเก็บความลังเลเอาไว้เถอะ"

"พวกเรายังมีเวลาลังเลอีกสี่ปี.. ก่อนจะตัดอารมณ์นั้นทิ้งไป"


"อืม..."


อีกสี่ปี..ก่อนจะจบจากโรงเรียน

อีกสี่ปี...ก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงแค่หนึ่งในความทรงจำ

อีกสี่ปี....ที่ข้าจะได้เรียนรู้


อีกสี่ปี.....



.....ที่ข้าจะไม่มีวันลืม





"ขอบคุณนะออริออน"




3.

คำขอบคุณ...


"อรามิส"

ข้าเรียกเขาครั้งแรกด้วยชื่อ ไม่ใช่นามสกุล ดูเป็นสิ่งที่ทำง่ายๆแต่มันยากสำหรับข้า

"อรามิส"

ข้าเรียกเขา...อย่างที่คนปกติควรจะทำ

เขาเป็นคนแรกที่ข้าเรียกด้วยชื่อ

พระอาทิตย์บนท้องฟ้า...


เพื่อนคนสำคัญของข้า...


เจ้าคงไม่รู้แต่สำหรับข้าแล้วการที่เรียกใครซักคนด้วยชื่อแบบนั้นมันประหลาด พิลึกพิลั่น เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยทำมาก่อน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ที่ข้าจำความได้

เพราะสิ่งนั้นหมายถึงว่าข้าจะยอมเปิดประตูให้เจ้าก้าวเข้ามา

อาจจะไม่ใช่ในโลกทั้งใบของข้า

แต่ส่วนหนึ่งนั้นข้าก็ยอมให้เจ้าผ่านเข้ามาแล้ว


เพราะอย่างนั้นมันถึงได้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ไม่คุ้นชิน และเขินอาย...

เอาเถอะ



ข้าจะพยายามชินไปกับมันให้ได้ในเร็ววัน


ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง

...อรามิส ไนต์...




4.

หากจะกล่าวถึงเรื่องอื่นๆของปีนี้..เรื่องของ เฮมุส ซีก ก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเรื่องหนึ่งสำหรับข้า

แต่ไม่ใช่เขาสั่งให้ข้าทำตุ๊กตาสำหรับเด็กผู้หญิงที่คงจะเอาไปให้น้องสาวหรอก มันก็ไม่ได้แปลกประหลาดใจอะไรที่อีกฝ่ายจะเอาตุ๊กตาไปให้น้อง หรือมาสั่งทำอะไรแบบนี้ แต่ที่น่าประหลาดใจกลับเป็นการที่อีกฝ่ายมาขอให้เล่นตุ๊กตาเป็นเพื่อนเสียมากกว่า

ก็แปลกดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าขำขันอะไร

แค่แปลกใจ....เพราะนอกจากเชิดหุ่นแล้ว ข้าก็ไม่เคยเล่นตุ๊กตาเหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่ได้บอกเขาในเรื่องนี้


ในฐานะน้องคนเล็กที่เป็นผู้ชายและมีพี่ชายอยู่สองคน ข้าไม่รู้หรอกว่าพี่ชายโดยทั่วไปจะเอาตุ๊กตามาให้น้องเล่นหรือไม่ แล้วเขาจะเล่นกับน้องชายของเขารึเปล่า ข้ารู้เพียงพี่ชายคนรองของข้าจะตัดหัวตุ๊กตาเหล่านั้นทิ้ง แล้วข้าก็จะต้องเย็บมันขึ้นมาใหม่เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆจนกว่าพี่จะพอใจหรือเบื่อไปเอง

และพี่ชายจะพาข้าไปดูงานของท่านพ่อที่ลานประหาร แม้งานจะไม่ได้มีบ่อยหรือถี่ แต่หากมีพวกพี่ก็ไม่เคยพลาด พวกเขาจะพาข้าไปนั่งดูในที่ที่เห็นได้ชัดที่สุด และจ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจตอนที่ท่านพ่อตวัดขวานตัดศีรษะของคนพวกนั้นออกจากลำตัว

แต่ข้าคิดว่าซีกคงไม่ทำอะไรแบบนั้น โดยเฉพาะกับน้องสาว

ถึงข้าจะไม่คิดว่าบ้านของเขาจะเลี้ยงเด็กออกมาปกติซักเท่าไหร่นักเมื่อดูที่ตัวของซีกเองก็ตามทีเถอะ....แต่เอาเป็นว่าข้าจะปล่อยให้เรื่องของบ้านใครก็บ้านมันไปแล้วกัน


พองพี่น้อง..มีอีกคนหนึ่งที่ข้านึกถึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

อรามิสเองก็มีน้องชาย เด็กคนนั้นชื่อดาวอส เป็นเด็กที่ข้าได้พบในช่วงปิดเทอม และเป็นเด็กที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าหากมีน้องชายก็อยากให้มีน้องแบบนี้ซักคน เขาน่ารัก..แต่คงไม่เหมาะที่จะมาอยู่ที่บ้านของข้า

ตอนที่อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกของพี่ชายคงเป็นความรู้สึกตอนที่อยู่กับดาวอสกระมัง


แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับที่ซีกมีอยู่ดี....น้องสาวอย่างนั้นเหรอ...

ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยว่าหากข้ามีน้องสาวซักคนมันจะรู้สึกยังไง




5.

หากจะให้พูดถึงรุ่นน้องที่ได้พบบ่อยที่สุดในตอนนี้ก็คงไม่พ้น ลิเลียน เดอ เบอค์มองท์ นางเป็นรุ่นน้องจากแผ่นดินประชาชน และเป็นผู้หญิง

เบอค์มองท์เป็นอีกคนที่เข้าหาข้าเพื่อจะมาเล่นกับเจ้าตุ๊กตาผ้าที่ข้าเย็บเหมือนกับคนอื่นๆ แร็กกี้กระโดดเด้งดีใจมากตอนที่เบอค์มองท์บอกจะมาเล่นกับมันทุกวัน..เหมือนที่มันทำกับทุกๆคน แต่นางเหมือนจะเป็นคนที่มาเล่นกับมันแทบจะทุกวันจริงๆแม้ว่าการที่เราพบกันบ่อยจะเป็นเพราะข้าไปทานอาหารที่แผ่นดินประชาชนอยู่บ่อยครั้งก็ตามที

จะว่าสนิทไหม...ข้าก็ไม่อาจจะทราบได้

แม้แร็กกี้จะบอกว่ามันสนิท...แต่มันก็พูดแบบนี้กับทุกคนรวมไปถึงคนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่นาที ข้าก็เลยไม่ได้สนใจคำของมันนัก ยิ่งช่วงหลังๆยิ่งเจอกันบ่อยขึ้น ที่ท่านแม่บอกว่าผู้หญิงชอบเล่นกับตุ๊กตาดูจะเป็นเรื่องจริง


ในช่วงวันหยุดวันหนึ่ง ข้าได้พบนางที่ตลาด จากนั้นจึงเดินดูของด้วยกันซักพัก แล้วนางก็หัวเราะตอนข้าถามนางถึงนกสีสวยที่ถูกตั้งขายอยู่กลางตลาดด้วยความสงสัย แต่จะว่านางก็ไม่ถูก..เป็นเพราะข้าเอง ข้าไม่เคยเห็นนกที่มีขนสีสวยขนาดนั้นมาก่อนถ้าไม่นับไว้กินกับไว้ฟังเสียงเพลง และอย่างน้อยมันก็ดูไม่น่าจะร้องเพลงได้ดีซักเท่าไหร่นัก ข้าจึงเอ่ยถามนางไปว่านกตัวนั้นมีไว้ทำไมหากไม่ใช่ด้วยเหตุผลเหล่านั้น

"ถ้าไม่มีไว้ขาย...ก็มีไว้โชว์มากกว่าน่ะค่ะ" นางตอบข้า สั้นและกระชับ

"เพราะสีขนน่ะเหรอ" เหมือนว่าข้าจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว "แต่มันก็สวยจริงๆแหละนะ.."

"ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ"

นางพูดเพียงเท่านั้นและไม่พูดอะไรต่ออีกเมื่อข้าซื้อนกตัวนั้นมา ขนาดของมันใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้ และกรงไม้ก็สลักอย่างดี แต่ราคากลับไม่แพงเท่าไหร่..แสดงว่ามันอาจจะมีดีแค่สีขนเท่านั้นจริงๆ

ข้าปล่อยมันหลังจากนั้นไม่นานนัก


"ทำไมถึงปล่อยไปล่ะคะ?....น่าเสียดายออก?"

นางเอ่ยถามขณะมองเจ้านกตัวนั้นกางปีนบินหายขึ้นไปขึ้นฟ้า ขนของมันสะท้อนกับแสงดูระยิบระยับ

"นกที่อยู่บนฟ้า...มันสวยกว่าตอนที่ไม่อยู่ในกรงนะ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? ถึงแม้กรงจะสวย แต่ก็ไม่เหมาะกับมัน... บ้านมีหลายแบบ และบ้านมีประตู...แต่ประตูที่เปิดออกเองไม่ได้ มันจะเรียกว่าบ้านที่สมบูรณ์ได้ยังไง"

นางตอบรับคำของข้าแผ่วเบาราวกับจมอยู่ในความคิดของตัวเอง

ข้ามองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันหลังก้าวจากไป... นกบนฟ้านั้นสวยกว่าอยู่ในกรงเสมอ แต่ข้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าอีกไม่นานมันก็ต้องตาย




6.

นกตัวนั้นมีสีขนที่แจ่มชัด สีทอง..และเขียว แซมด้วยแดง และดำ

ข้าพบศพของมันหลังจากที่ปล่อยตัวมันไปได้สามวัน..ชีวิตช่างแสนสั้นนัก

นกตัวนั้นเหมือนว่าจะถูกพรานยิงลงมาจากฟ้า แต่สุดท้ายก็โดนพวกหมากระชากจนหมดสวย ขนนกปลิวกระจัดกระจายจนหมดราคา ศพของมันจึงถูกนักล่าโยนทิ้งเอาไว้ให้เป็นอาหารแก่สัตว์ป่าต่อไป

ที่ข้าจำมันได้ก็เพราะกำไลที่ข้อเท้าของนกตัวนั้นยังคงอยู่ มันอาจจะเล็กเกินไปและดูไร้ราคาจึงถูกผู้ล่าทิ้งเอาไว้ แต่ข้าก็จำมันได้...เพราะกำไลข้าเท้าของเจ้านกทำมาจากต่างหูทองเหลืออันไม่เล็กไม่ใหญ่และมีซ้อนกันคู่หนึ่งพอดี ข้าจึงมั่นใจได้ว่านกตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่ข้าซื้อมาจากตลาดตอนไปเดินกับเบอค์มองท์

แต่การที่เห็นมันที่ข้าปล่อยออกไปแล้วตายก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเศร้าเสียใจอะไรเท่ากับตวามน่าเสียดายที่มันจากไปเร็วถึงเพียงนี้ และการที่มันถูกล่าเพราะขน..ข้าก็คิดไว้แล้วว่าซักวันก็ต้องมีคนมาล่ามันอยู่ดี แค่ไม่ได้บอกงเรื่องนี้กับเบอค์มองท์ ทั้งเรื่องที่รู้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่มันเป็นศพ


เจ้านกน้อย..

โดนยิงให้ลงมาจากฟ้าไม่ได้ตายในคราเดียว มันอาจจะทุรนทุรายหลังตกกระแทกพื้นอยู่ซักหน่อยก่อนจะโดนพวกหมาล่าเนื้อฉีกเป็นชิ้นๆ

ช่วงเวลาก่อนตายมันคงหวาดกลัวมาก....หวาดกลัวที่จะตายอย่างทรมาน



....มันเป็นความกลัวที่ข้าไม่รู้จัก



เหมือนเวลาแข่งในหมากกระดาน ข้าไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย ชีวิตมีเกิดต้องมีดับ ทุกอย่างจะกลับสู่จุดเริ่มต้น...ท่านพ่อสอนข้าเช่นนั้น


ในปีแรกที่ข้าลงแข่งในสนาม ข้ายอมรับว่าตื่นเต้น หัวใจข้าเต้นรัว เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง และในปีที่สองข้าถึงได้รู้จักความสนุกสนาน และเรื่องที่ทำให้หัวใจข้าเกือบหยุดเต้น

แต่ไม่ว่าตัวของข้าจะแพ้หรือชนะ ข้ากลับไม่มีความรู้สึกอะไรอยู่ดีนอกจากความเจ็บปวดจากการโดนใบดาบฉีกร่างจนเกือบขาด หรือโดนเวทยิงจนตายคากระดาน...หรือต่อให้กำจัดคนรู้จักออกจากสนามข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บใจที่แพ้ ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ชนะ.. ข้าสนุกที่ได้ลุ้นกับการแข่ง แต่นอกเหนือจากนั้นความรู้สึกของข้าเกือบจะเหมือนเส้นตรงเพียงเส้นเดียว


และข้าไม่ได้กลัวที่ตัวเองจะตายหากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดพลาดขึ้นมาในกระดาน


แม้ความตายจะเป็นการจากลาที่น่าเศร้า แต่ซักวันคนเราก็ต้องตายข้ารู้เรื่องนี้ดี

เพราะอย่างนั้นความกลัวที่ข้ามีถึงไม่ได้มีเพื่อตัวข้าเอง


เพราะข้ายังมีหัวใจ...ข้ายังไม่ใช่ตุ๊กตา

ข้าจึงยังคงมีความรู้สึกกลัวว่าตนจะไม่สามารถตัดหัวคนรู้จักได้หลังเรียนจบ

ข้าจึงยังคงมีความรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียคนสำคัญไป


และข้ายังคงมีความรู้สึก....ให้กับผู้คนรอบตัว


แต่ไม่ใช่ตัวของข้าเอง

ข้าก็แค่แคร์คนเหล่านั้นมากเกินไปจนมันกลายเป็นพิษร้ายต่อตัวของข้า


มากจนเกินไป...จนทำให้ข้าดำดิ่งอย่างไม่อาจต้านทานสิ่งใดได้เลย




7.


ข้า...ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดีรึเปล่าอรามิส...


ข้าทำอะไรผิดลงไปรึเปล่า

เจ้าจะเกลียดข้ารึเปล่า


ข้า...รับรู้ถึงความผิดปกติ..ในน้ำเสียง ในแววตา แต่ข้าไม่รู้ว่าคำถามของข้ามันจะทำให้เจ้าไม่พอใจ


ข้าขอโทษ...


แต่มันก็เจ็บ

คำปฏิเสธพวกนั้น...แตกต่างจากตอนของโครเซ่ เกนส์ เพราะมันเจ็บมากกว่า..ทรมานมากกว่า

ข้า...ไม่อยากจะเข้าใจ แม้ข้าจะแปลกใจและสงสัยว่าทำไมข้าถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้

ถึงคำว่า "แม้แต่นาย" มันเป็นแค่คำหนึ่งสั้นๆ แต่มันกลับ...มากกว่าที่ข้าคิดไว้

จนสุดท้ายข้าก็กล่าวไปว่า "ขอโทษ"

ข้ารู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย แต่ข้าก็ยังอยากที่จะขอโทษเจ้าอยู่ดี..ที่ข้าถามเจ้าออกไปทั้งที่ข้าคิดว่าเจ้าก็คงไม่อยากจะให้ถามนัก

ข้าแค่เห็นเจ้าไม่สบายใจ เลยคิดไปเองว่าเจ้าอาจจะอยากหาที่ระบาย


ข้าขอโทษนะอรามิส


มัน...ดีขึ้นเล็กน้อยตอนเจ้าตอบกลับมาว่า "มันก็แค่เรื่องที่บอกใครไม่ได้"

ในตอนนั้นข้ายอมรับ...ข้าเองก็มีเรื่องที่บอกใครไม่ได้เช่นกัน และคนทุกคนย่อมมีความลับ ข้าควรเคารพในตัวของเจ้า...ในฐานะเพื่อน แต่ข้าก็หยุดตัวเองไม่ได้

ความสงสัย...มันเป็นพิษร้ายเสมอ


"อรามิส...เจ้าชอบที่จะยิ้ม ข้าชอบมัน"

"แต่บางครั้ง...ไม่รู้สิ..."


บางครั้งรอยยิ้มของเจ้าก็ต่างจากเดิม ต่างจากวันแรก...แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังคงเป็นพระอาทิตย์ในสายตาของข้า แต่ท้องฟ้ามันช่างมืดมัว...หม่นหมอง มืดครึ้ม..ราวกับว่าเมฆเหล่านั้นจะบดบังทุกอย่างให้หายไป


แล้วเจ้าก็พูดขึ้นมา "ถ้านายชอบฉันก็ดีใจ แต่ถ้าชอบจริง....นายคงไม่พูดคำว่า 'แต่' "

ใช่... 'แต่'

คำว่า 'แต่' เหมือนเป็นคำที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก..อย่างน้อยข้าก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในตัวของข้ากำลังสะดุด เหมือนเฟืองที่เริ่มแตกร้าวในตัวของตุ๊กตาไขลาน...ความผิดพลาด...และข้าต้องพยายามจัดการกับมัน

พยายามแก้ไข... แต่มันจะแก้ได้รึเปล่า..ข้าถามตัวเอง

..แต่ไม่มีคำตอบ

ในเมื่อตัวข้าไม่ใช่ตุ๊กตาลาน ความผิดพลาดของข้าจึงไม่ใช่แค่ฟันเฟือง มันเปลี่ยนใหม่ไม่ได้ และสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็กลับไปแก้ไขไม่ได้เหมือนเช่นคำพูดที่ข้ากล่าวออกไปด้วยความใคร่รู้

ข้าไม่ได้คิดเลยว่ามันจะทำร้ายเจ้าบ้างไหม  จะทำให้เจ้ารู้สึกแย่รึเปล่า

..ข้าขอโทษ..



"บางครั้งมันก็ดูเศร้า มันเป็นความรู้สึกน่ะ.."

"นาย...คงคิดไปเอง"

...ข้าเปล่า...

"ไม่ต้องห่วง ออริออน 'ฉัน' มีความสุขดี"

..ข้าไม่เชื่อ..

"...ข้าเชื่อเจ้าได้ใช่ไหม" ..แต่ข้าก็ยังย้ำถามกลับไป

คำพูดนั้นเอาตามตรงมันเหมือนคำเปรยมากกว่าคำถาม ถ้าให้พูดตามจริงข้าก็ไม่ต้องการที่จะได้ยินคำตอบซักเท่าไหร่... และหากนั่นเรียกได้ว่าความกลัว ข้าก็ได้พบเรื่องที่ข้ากลัวมากมายหลังจากที่ได้รู้จักกับเจ้า

ทั้งความสุข ความเศร้า ความเหงา ความหวาดกลัว ความหวัง

เจ้าเป็นคนสอนข้าทุกอย่าง...และนั่นทำให้ข้าเริ่มที่จะกลัว

ความรู้สึกมากมายที่คนรอบตัวข้าหยิบยื่นให้ทีละเล็กละน้อยนั้นเหมือนกับสีสันมากมายที่ถูกแต่งแต้มลงมาในโลกของข้า แต่เจ้าคือคนที่ทำให้สีสันพวกนั้นเด่นชัดที่สุด...สำหรับข้า

เพราะอย่างนั้นข้าจึงเริ่มที่จะกลัว...ที่จะกังวล

อาจจะเพราะข้าเริ่มใส่ใจมากขึ้น มองมากขึ้น ..สำหรับข้าในตอนนี้เพื่อนอย่างเจ้าช่างแสนสำคัญนัก มันจึงกลายเป็นผลกระทบที่เรียบง่ายแต่รุนแรงมากสำหรับข้า



ได้โปรด..อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย..


"เอาเถอะ...ถือว่าครั้งนี้ข้าได้เห็นเจ้ามากขึ้น ข้าจะไม่ถามอะไรต่อ ข้าไม่อยากจะทำเจ้าไม่พอใจ"


แม้ว่าเจ้าจะทำตัวแปลกไปมากแต่ทุกคนต่างก็มีเรื่องของตัวเอง เรื่องที่จะให้คิด เรื่องที่จะให้กังวล

แม้ว่าข้าจะไม่รู้ แม้ว่าข้าจะต้องการที่จะรู้ แต่ข้าก็ควรจำไว้อย่างหนึ่ง

ข้าควรจะเคารพในตัวของเจ้า...ในตัวของคู่สนทนา ในฐานะของมนุษย์คนนึง...ในฐานะของเพื่อน

แม้ว่าซักวันเจ้าอาจจะเล่า หรืออาจจะไม่แต่มันก็เป็นเรื่องของเจ้าที่ข้าไม่สมควรเข้าไปยุ่ง


ใช่ว่าคนคนทุกคนจะยอมรับความเป็นห่วงที่คนอื่นมอบให้เสมอไป...ข้าได้เรียนรู้คำคำนั้นในวันนี้



แล้วข้าก็ยิ้ม....รอยยิ้มของข้า หน้ากากของข้า ครั้งนี้มันจะใช้ได้ผลหรือไม่ ข้าไม่รู้เลย


"แต่ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับเจ้า.. นี่ข้าคงกวนเวลาเจ้ามามากแล้ว แล้วพบกันอรามิส"


ตอนที่ข้าเดินจากมา ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียง...ฟันเฟืองที่กำลังสะดุดลงอีกครั้ง

ฟันเฟืองนั้นสะดุดลงซ้ำๆเหมือนมีบางอย่างมาขัดเอาไว้


...แต่ข้าไม่ใช่ตุ๊กตา เพราะอย่างนั้นได้โปรด...


....อย่าให้ฟันเฟืองของข้าพังลงเลย....




8.

"ข้าทำให้เขาไม่พอใจรึเปล่านะ"

'เค้าไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองพูดอะไรกับอรามิสไปบ้าง ก็ตัวเองเล่นทำให้เค้าหลับไปแบบนั้นนี่นา' แร็กกี้เท้าสะเอวด้วยแขนป้อมๆ มันดูเหมือนกระสอบเก่าๆที่ถูกเย็บด้วยผ้าแล้วเติมิ้นส่วนต่างๆของร่างกายจนออกมาเป็นตุ๊กตาตัวเล็ก

"นั่นสินะ...ข้าขอโทษ"

'ใช่ ควรจะขอโทษมากๆเลยด้วย ทำตัวแบบนี้เป็นเด็กไม่ดีเลย ไม่ดีๆ'

"ข้ารู้" ข้าตอบอย่างขอไปที

'อ...ออริออน'

"หืม..?"

'มือ..มือ! ตายแล้ว นี่ตัวเองทำอะไรลงไปกับมือของตัวเองน่ะ!! ตายแล้ว ตายแล้ว! หมอ.. ท่านหมอ!!'

แล้วมันก็โวยวายลั่น กระโดดขึ้นลงเหมือนคนขวัญเสียพลางชี้แขนป้อมๆของมันไปที่มือของข้าไม่หยุด มันทำให้ข้าก้มมองตาม..


"อา.."

'นี่ไม่ใช่เรื่องมาทำใจเย็นนะออริออน! มือ... ท่านหมอ! ท่านหมอ!'

"เจ้าอย่าพูดเหมือนข้ากรีดข้อมือตัวเองแบบนั้นได้ไหม มันก็แค่รอยข่วนเล็กๆที่หลังมือ...ไม่ลึกเสียหน่อย"

'มันไม่ได้เล็กเลยนะออริออน! หยุดสิ ทำอะไรซักอย่าง มันไหลไม่หยุดเลยน้ำสีแดงๆพวกนั้น..'

"ใจเย็นๆแร็ก"

'จะให้ใจเย็นได้ยังไง ไม่นะไม่ จะทำยังไงดี เค้าจะทำยังไงดี!'

"มันก็แค่รอยเล็กๆ.. เดี๋ยวมันก็หาย" ข้าจำเป็นต้องย้ำอีกสามสี่รอบจนกว่าเจ้าตุ๊กตาจะยอมฟัง ข้าถอนใจยาว "เจ้าไม่ต้องกังวล แค่ซุ่มซ่ามน่ะ"

เลือดสีแดงหยดลงบนพื้นหิน ข้ารู้สึกว่ามันเริ่มจะหยุดแล้วแม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะไหลจากหลังมือผ่านปลายนิ้วของข้าที่เผลอจิกมันจนเข้าเนื้อ..ข้านี่ซุ่มซ่ามเกินไปจริงๆ

'ออริออนอย่าตายนะ...!'

"แร็ก.."

'เค้าขอโทษ.."




9.

"เจ้าคิดยังไงกับราฟาเล่ เจ้าคิดว่าถ้าข้าทิ้งหัวใจไปจะดีกว่าไหม"

ข้าเอ่ยถามเจ้าตุ๊กตา มันเอียงคอไปซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังคิดบางอย่างด้วยสมองน้อยๆของมัน ถึงข้าจะรู้ว่ามันคงคิดหาคำที่วิเศษวิโสไม่ค่อยได้แต่ความจริงไปตรงมาของเจ้าตัวน้อยคือสิ่งที่ข้าชอบ

แร็กกี้นั้นซื่อตรง อายุของมันหยุดเมื่อตอนที่มันถูกทำให้ขยับตัว ถูกใส่เจตจำนงของการมีชีวิตลงไปก่อนที่เจ้าถุงผ้าตัวนี้จะเริ่มมีชีวิตจิตใจด้วยตัวของมันเอง แม้บางส่วนถูกผูกเข้ากับตัวของข้าแต่เราก็ไม่ใช่คนเดียวกัน

'เค้าคิดว่าตัวเองกำลังคิดมาก' มันนั่งห้อยขากับโต๊ะ เงยมองหน้าข้าที่กำลังพันแผลให้มือตัวเอง 'ออริออนไม่ใช่ตุ๊กตานะ ออริออนมีหัวใจ ราฟาเล่ก็มีหัวใจเหมือนกันใช่ไหม แล้วทำไมคนที่มีหัวใจถึงไม่อยากให้ตัวเองมีหัวใจด้วยละ'

"เพราะมันขัดกับหน้าที่การงาน ความลังเลใจไม่ใช่สิ่งที่ดี เรื่องผิดพลาดมันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หัวใจทำให้ลำบาก ความรู้สึกทำให้เป็นทุกข์"

'แต่ท่านพ่อของออริออนเคยบอกกับเค้านะว่าทุกคนย่อมมีข้อผิดพลาดกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อมหรอก'

"ท่านพ่อคุยกับเจ้า?"

ข้า..ค่อนข้างจะตกใจ แต่หากจะคุยก็คงเป็นช่วงที่ข้าทิ้งมันเอาไว้ที่บ้าน แต่ท่านพี่มาคุย...ท่านพ่อน่ะเหรอ

'อื้อ ท่านพ่อฮันเตอร์นั่งคุยกับเค้า เพราะเค้างอแงที่ออริออนทิ้งเค้าไว้บ้าน'

ข้านึกแล้ว..

'ท่านพ่อบอกว่าสมัยท่านยังเด็กท่านก็มีเรื่องที่ตัดสินใจผิดพลาดไปเยอะ ท่านเองก็มีเพื่อนนะออริออน ถึงจะไม่เยอะแต่ก็มี และท่านพ่อยังออกอีกด้วยนะว่าไม่เสียใจเลยละ'

เพื่อนของท่านพ่อน่ะเหรอ...คนที่ไม่เคยออกจากทริสทอร์คนนั้นน่ะเหรอ

'ออริออนไม่ควรจะฟังไวล์ลีนักเพราะไวล์ลีขี้หวง ถึงไวล์ลีจะเป็นห่วงออริออนมากก็เถอะ'

'ออริออนไม่ใช่ตุ๊กตาแบบเค้า หัวใจน่ะเก็บเอาไว้เถอะนะ ความรู้สึกก็ด้วย เพราะหัวใจทำให้ร่างกายขยับแทนที่ฟันเฟืองแล้วก็เชือกนี่นา ส่วนความรู้สึกก็ทำให้มีอารมณ์เยอะแยะ แสดงสีหน้าได้เยอะแยะมากๆไม่ใช่หน้าเดียวแบบเค้าใช่ไหมละ' มันทำไม้ทำมือประกอบการพูดของมัน

'เพราะว่ามันจะน่าเศร้าไม่ใช่เหรอที่จะต้องทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองไป ออริออนก็ไม่ชอบใช่ไหมละ สำหรับเค้าน่ะนะ เรื่องที่ทำให้ออริออนไม่มีความสุขน่ะเค้าไม่ชอบหรอกนะ'


เจ้าตุ๊กตา..

ตรงไปตรงมา ใสซื่อ และเรียบง่ายจนบางครั้งก็น่าอิจฉา แม้บางครั้งจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่หลายครั้งเจ้าก็ช่วยข้าเอาไว้ได้เสมอจริงๆ

"ขอบคุณนะแร็ก"

'อื้อ ไม่เป็นไร เค้าน่ะทำได้ทุกอย่างเพื่อออริออนนั่นแหละ!'


ข้าเพียงแค่ยิ้มแล้วเป่าเทียนในห้องให้ดับก่อนจะบอกลาเจ้าตัวเล็กแล้วทิ้งตัวลงนอนพลางคิดทบทวนในสิ่งที่คุยกันไปเมื่อครู่ และพร้อมกันนั้นข้าก็นอนฟังเสียงหัวใจของตัวเอง มันเต้นเป็นจังหวะอยู่ในอกของข้า

อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เส้นทางของชีวิตก็เหมือนกันใช่ไหม และถ้าท่านพอเคยบอกว่าข้อผิดพลาดนั้นไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกเสียใจก็แสดงว่าข้ายังไม่ควรกังวลใช่หรือไม่...

เดินไปตามทางของตัวเอง

ตัดสินใจด้วยตัวเอง

มีชีวิตของตัวเอง


จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควรจะพอ







----------------------------------------------------------------------------

สรุปปีนี้
  • อายุ 17 อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อเบาๆทำให้รู้สึกอยากจะดีดตัวออกจากเส้นทางที่ทางบ้านปูไว้ให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
  • คุยกับเบียง เรียกสติตัวเองคืนมาว่าตัวเองก็มีหน้าที่ มีสถนาที่ของตัวเองนะ
  • เรียกชื่อ “อรามิส” ครั้งแรก จากปกติที่เรียกแค่นามสกุล “ไนต์”
  • เฮมุสมาให้เล่นตุ๊กตาเป็นเพื่อน และเย็บตุ๊กตาให้เพื่อเอาไปให้น้องสาว ทำให้ตัวเองยิ่งรู้สึกว่าบ้านตัวเองนี่เลี้ยงมาแปลกจังเลย
  • ได้ไปเดินตลาดกะลิเลียน แล้วก็ปล่อยนก (ประหนึ่งทำบุญ--)
  • สามวันต่อมาก็เจอนกตัวนั้นตาย ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรไรหรอกนะ
  • มีเรื่องกับอรามิสเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เฟล เริ่มเกิดความสับสนกับชีวิตตัวเองอีกรอบเพราะรู้สึกว่าได้ผลกระทบจากชายคนนี้มากเกินไป
  • เผลอจิกมือตัวเองเป็นแผล ไม่ใช่แผลใหญ่หรอก อย่าเอ็ดไป
  • ได้รู้จากเจ้าตุ๊กตาว่าขนาดท่านพ่อยังผิดพลาดได้เลยนะ
  • เริ่มกลับมาจิตใจมั่นคง
  • ตัดสินใจได้ว่าจะทำตามที่ตัวเองต้องการต่อไป ถ้ายังไม่เจอหนทางใหม่ก็จะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไป


No comments:

Post a Comment