Saturday, September 19, 2015

[ToB] Tobias Zepar

"The pen is mightier than the sword"
Edward Bulwer-Lytton (1839)

“Everybody has their own privacy, if you know what I mean.”

“คมปากกาน่ะอันตรายยิ่งกว่าคมดาบอีกนะ.. เหมือนที่ตระกูลอัศวินเก่าแก่ที่ล่มได้เพราะปากกากับกระดาษแค่แผ่นเดียวนั่นแหละ”

“ลืมไปรึเปล่า ว่าผู้ที่จดบันทึกคือพวกข้า ผู้ที่สามารถกำหนดประวัติศาสตร์และเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้มีเพียงผู้กระทำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษ หรือทรราช ถ้าบันทึกเขียนไว้ว่าอย่างไร คนส่วนมากก็มักจะเชื่อไปตามนั้นมิใช่เหรอ”




ชื่อ-สกุล - ฉายา - 
โทไบอัส เซปาร์ นักเขียนแห่งบารามอส
Tobias Zepar the Writer of Baramos

หอ - ปราการปราชญ์
ปี - 3  (รุ่น2)

ประเทศภูมิลำเนา - บารามอส
เพศ - ชาย
อายุ - 20
สีผม/สีตา - น้ำตาลทอง / น้ำตาลอำพัน (Amber eyes)
ส่วนสูง/น้ำหนัก -
ปี1 - 178/65
ปี2 - 180/71
ปี3 - 182/74
ปี4 - N/A
ปี5 - N/A
ปี6 - 186/**

CV : จิ้ม
Twitter: ToB_Zepar



ประวัติ - *แบบยาวๆ* โทไบอัสเกิดในตระกูล “เซปาร์” เป็นตระกูลอัศวินเก่าแก่ของบารามอส ที่มียศระดับกลาง แต่มีกำลังทรัพย์และกำลังพลอยู่พอตัว เขาเป็นลูกชายคนรองของ “รี๊ด เซปาร์” และ “มาทิลด้า เซปาร์” ตั้งแต่เด็ก เขาถูกฝึกให้เป็นทั้งบุ๋นและบู้เหมือนกับพี่น้องผู้ชายทุกคนในตระกูล ทั้งการอ่าน การเขียน มารยาท การต่อสู้ การเข้าสังคม.. เรียกได้ว่าหายใจเข้าคือเรียน และหายใจออกคือการฝึกฝน แต่ถึงแม้จะต้องเรียนหนักมากเพียงใด แต่โทไบอัสก็มีทางเดินของตนเองชัดเจน ไม่ว่าจะถูกเข้มงวดมากแค่ไหนเขาก็ยังแบ่งเวลาเพื่อทำในสิ่งที่ตนเองชอบได้เป็นอย่างดี พร้อมจะต่อต้านและชี้แจงเหตุผลหากตนคิดว่ามันผิด และเรียกได้ว่าซนที่สุดในบ้านมาตั้งแต่ยังเล็ก พอโตขึ้นมาซักหน่อย โทไบอัสก็เริ่มให้ความสนใจในการใช้ดาบคู่ เขาติดต่อหาคนสอนด้วยตัวเอง ฝึกฝนและพัฒนาฝีมือด้วยตนเองจนสามารถเป็นคู่ฝึกซ้อมกับพี่ชายตนเองได้เกือบสูสี จนกระทั่งโทไบอัสอายุครบ 15 และกำลังจะถูกส่งไปเข้าเรียนที่เอดินเบิร์ก แต่ก็ต้องระงับไว้เพราะเกิดปัญหาสืบเนื่องมาจากการเมืองภายในที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย และตระกูลเซปาร์นั้นเลือกที่จะสนับสนุนองค์ชายคนโตและองค์ราชินี แต่เพราะทางหัวหน้าตระกูลนั้นได้ทำอะไรขัดหูขัดตาขุนนางฝ่ายตรงข้ามองค์ราชีนีบ่อยๆ ทำให้สุดท้ายก็ถูกใส่ร้ายและสร้างหลักฐานเท็จป้ายสีความผิดจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้ เหตุการณ์นั้นทำให้ตระกูลเซปาร์ถูกถอดยศ ยึดทรัพย์สิน ที่ดิน กำลังพล รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยครอบครอง แม้แต่ดาบประจำตระกูลยังถูกยึดและนำไปหลอมใหม่ (ทิ้งไว้ให้เพียงอาวุธประจำตัวสองสามชิ้น) ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากที่ดินของตนเอง ถูกทอดทิ้งจากคนรอบข้างที่ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือเพราะกลัวจะถูกจัดการเป็นรายต่อไป แม้กระทั่งองค์ราชินียังจำต้องวางตัวสงบเพราะหลักฐานชัดเจนเกินไปจนไม่สามารถโต้แย้งได้ จึงต้องปล่อยให้ดำเนินตามกฏหมาย ในเวลานั้น รี๊ด เซปาร์ ก็ได้ทำตัวไม่สมกับเป็นบิดาและผู้นำครอบครัวที่สุด เจ้าบ้านตระกูลเซปาร์ไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเมื่อไม่ได้รับข่าวคราวจากองค์ราชินี เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป รี๊ดเอาแต่ดื่มเหล้าที่ได้มาจากเงินที่พวกลูกชายเพียรหามาจากการทำงานหนัก อารมณ์รุนแรง และเอาแต่พูดคุยกับแหวนประจำตระกูลที่เคยได้รับมาจากกษัตริย์ในอดีต เรื่องนี้ทำให้บรรดาลูกๆสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวพ่อไปแทบสิ้น ในที่สุดลูกชายทั้งสามก็ทนไม่ไหว พวกเขานัดแนะกันขโมยแหวนประจำตระกูลตอนที่พ่อเมาหลับไปซ่อน เพื่อหวังให้พ่อคิดได้ว่าแค่แหวนวงเดียวไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตระกูลนี้ได้ พวกเขาช่วยกันทุบเอาอัญมณีจากหัวแหวนไปขายที่ตลาดเพื่อเอาเงินก้อนนั้นมาซื้ออาหารและยาให้มารดาและพี่น้องผู้หญิง แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับบิดา และยังไม่คิดที่จะคืนแหวนเมื่อเห็นว่าบิดานั้นยังคงเอาแต่ดื่มเหล้าไปวันๆ แต่ไม่กี่วันต่อมารี๊ด เซปาร์ กลับฆ่าตัวตายและทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลัง ก่อนที่ม้าเร็วขององค์ราชินีจะเดินทางมาถึงไม่กี่วัน (เหตุผลที่รี๊ดฆ่าตัวตายเพราะความคิดชั่ววูบ จากความรู้สึกผิด ความผิดหวัง และอื่นๆ) ม้าเร็วนั้นแจ้งพวกเขาว่าองค์ราชินีจะส่งคนมารับเหล่าผู้หญิงในครอบครัวไปช่วยดูแลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ไม่สามารถจะช่วยบุตรทั้งสามได้จนกว่าจะมีหลักฐานมากกว่านี้ว่าตระกูลเซปาร์นั้นถูกใส่ร้ายจริงๆ และคงไม่สามารถติดต่อมากกว่านี้ได้อย่างโจ่งแจ้งเพื่อรักษาสถานะของตัวองค์ราชินีเอง บุตรชายทั้งสามของตระกูลเซปาร์นั้นไม่เชื่อเท่าไหร่นักว่าองค์ราชินีจะสามารถทำอย่างที่พูดได้จริงหรือไม่ แต่พวกเขาก็สามารถวางใจได้บ้างในเรื่องของครอบครัว พวกเขาเอาเงินที่เหลือจากการขายอัญมณีบนหัวแหวนไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ เริ่มตั้งตัว ทำงานทุกอย่างที่พอจะทำได้ และเก็บความแค้นทั้งหมดไว้ในใจ ช่วงสิ้นปีนั้น โทไบอัสวางดาบ และผันตัวมาเป็นนักเขียน ด้วยเหตุผลว่า “คมปากกาน่ะอันตรายยิ่งกว่าคมดาบอีกนะ.. เหมือนที่ตระกูลอัศวินเก่าแก่อย่างพวกเรายังล่มได้ เพราะปากกากับกระดาษแค่แผ่นเดียวไง” แต่ก็ยังทำงานเสริมอื่นๆเพื่อเก็บเงินไม่หยุด เขาเดินทางไปหลายที่ เปลี่ยนงานไปเรื่อย และทำหลายอย่างตามทุกที่ที่ไป พร้อมพยายามจะขายหนังสือของตัวเองไปด้วย เด็กหนุ่มใช้เวลาสามปีจนเริ่มเห็นว่าตัวเองเริ่มมั่นคงแล้ว และจะเข้าโรงเรียนพระราชาที่เคยตั้งใจจะเข้าเมื่อสามปีก่อนต่อให้ได้ เขาใช้เงินเก็บส่วนตัวตลอดสามปีของตัวเอง พร้อมกับตัดใจเอาดาบคู่ใจหนึ่งเล่มของตัวเองไปจำนำ เอาเงินมาสมัครเข้าโรงเรียน และซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ (ไว้เงินพอไปไถ่จะไปไถคืน) มีการทำงานพิเศษอยู่เรื่อยๆตามแต่โอกาส และพี่ชายก็ส่งเงินมาช่วยบางส่วนด้วยเช่นกัน


แบบย่อๆ
  • โทไบอัสเกิดในตระกูลอัศวินบารามอส เป็นลูกคนรอง
  • ตอนอายุ 15 กำลังจะเข้าเรียนที่เอดินเบิร์ก แต่ไม่ได้เข้าเพราะทางบ้านติดปัญหา
  • ตระกูลโดนใส่ร้าย โดนสร้างหลักฐานเท็จมามัดตัวดิ้นไม่หลุด ยึดทรัพย์สิน ไล่ที่
  • หัวหน้าตระกูลฆ่าตัวตายก่อนม้าเร็วราชินีเดินทางมาถึง
  • บรรดาลูกชายขอให้องค์ราชินีช่วยรับสาวๆในบ้านไปอยู่ในความดูแล ส่วนพวกตนจะดูแลตัวเอง
  • องค์ราชินีตกลง
  • สามพี่น้องช่วยกันทำงานหนัก พยายามเก็บเงินและตั้งตัว
  • โทไบอัสหันมาจับปากกาเป็นนักเขียน แต่ก็ยังทำงานพิเศษอื่นๆอยู่ พยายามทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน
  • เด็กหนุ่มใช้เวลาทำงานและเก็บเงินทั้งหมดสามปี ก็เอาเงินที่หาได้มาเข้าโรงเรียนพระราชา

ภาพร่างหรือบรรยายคร่าวๆ สำหรับชุดนักเรียน -
  • ปกติจะปล่อยผม แต่เวลาฝึกซ้อมหรือทำอะไรก็จะรวมผมตัวเองไว้เป็นจุกเล็กๆด้านหลัง (บางครั้งก็เปลี่ยนทรงไปตามความสะดวกของวัน)
  • เสื้อด้านในนั้นจะเน้นแขนกุดสีอ่อน ไม่ก็แขนสั้นสีอ่อน ส่วนด้านนอกจะเป็นเสื้อนร.แขนสั้นไม่ติดกระดุม กางเกงขายาว รองเท้าถ้าไม่ใช่บู้ทก็ผ้าใบ
  • มีเครื่องประดับที่ข้อมือพอตัว ส่วนมากเป็นเชือกหนังและเชือกสีกับลูกปัด ใส่ต่างหูห่วงข้างนึง
  • มีย่ามเล็กๆที่จะพกสมุดไว้จดโน่นนี่ ขวดหมึก กับปากกา
  • พกดาบติดตัวเสมอ



สิ่งที่ชอบ
สิ่งที่ไม่ชอบ
  • หนังสือ
  • คนเก่งๆ
  • เดินทางท่องเที่ยว
  • ประสบการณ์ใหม่ๆ
  • คนที่นิสัยเหมือนท่านพ่อของตัวเอง
  • พ่อตัวเอง
  • คนมีอุดมการณ์ที่สวยหรูเกินจริง
  • การโดนคนมองออกว่ากำลังคิดหรือรู้สึกแบบไหน
  • คนที่ขาดสติ
  • รองเท้าเวลาเปียกน้ำ

งานอดิเรก
  • จดบันทึก / เขียนหนังสือ
  • อ่านหนังสือ
  • ขัดดาบ
  • นั่งดูคนเดินผ่านไปมา
  • เดินเล่น


นิสัย

  • รักสนุก ขี้เล่น ชอบแกล้งคนมากเป็นพิเศษ
  • แต่ก็มีความสุขุมรอบคอบเสมอ
  • มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แม้จะเกิดมาในตระกูลที่เข้มงวด แต่เขาก็ยังมีเส้นทางเดินเป็นของตัวเองชัดเจน
  • จริงๆเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ และเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่มักซ่อนความรู้สึกไว้หลังใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร
  • เวลาเจ็บแล้วจะจำ ยิ่งเจ็บเท่าไหร่ยิ่งจำเท่านั้น จะไม่มีวันลืมจนกว่าจะได้กระทำคืนให้มากกว่าที่ตนเองโดน
  • มีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลาตามประสาคนที่ถูกฝึกมาแต่เด็ก
  • หากได้รับการปฏิบัติมาแบบไหน ก็จะปฏิบัติแบบนั้นตอบกลับไปแบบนั้น
  • ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดี ออกจะติดประชดประชันเสียด้วยซ้ำ แต่ภายนอกแล้วมักทำตัวเหมือนมองโลกแง่ดีทั่วไป
  • มีความสามารถในการประชดประชันและจิกกัด แต่โดยปกติแล้วพูดจาดีอยู่


อื่นๆ
  • ถนัดดาบสองมือที่สุด ใช้ได้คล่องแคล่วมากเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเพราะฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็ก
  • ใช้มือได้ทั้งซ้ายและขวา (ความจริงเป็นคนถนัดซ้ายแต่เกิด แต่เพราะทางครอบครัวเห็นว่ามันดูไม่ดีที่ลูกเป็นคนถนัดมือซ้าย จึงพยายามบังคับให้ใช้มือขวาตั้งแต่เด็ก โตมาเจ้าตัวเลยถนัดสองมือ)
  • ปกติแล้วจะใช้มือขวาทำโน่นนี่ ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าถนัดสองมือ แต่ถ้าอยู่ๆมีคนปาอะไรใส่ก็จะยกมือซ้ายกันโดยอัตโนมัติ
  • ถึงปากจะชอบบอกว่าตัวเองทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้ว แต่ลึกๆก็มีศักดิ์ศรีเต็มเปี่ยม
  • เมื่อสามปีก่อนตอนที่ครอบครัวถูกยึดทรัพย์ โทไบอัสกำลังจะเข้าโรงเรียนพระราชาพอดี (พี่ชายคนโตกำลังเรียนอยู่ปี 4) แต่เพราะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำให้เจ้าตัวไม่ได้สมัครเข้าโรงเรียน และพี่ชายก็ต้องลาออกเช่นกัน..
  • ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดี แค่คำพูดคำจาบางครั้งอาจจะดี แต่จริงๆแล้วในใจอาจจะคิดไปคนละอย่าง


ตัวเลือกทั้งสี่: แหวน ดาบ คทา มงกุฏ ถ้าเป็นกษัตริย์ จะถือหรือสวมอะไรเป็นอย่างแรก "ดาบ” โทไบอัสมองผู้คุมสอบ เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร “มันเป็นสิ่งที่ควรจะติดเป็นอันดับแรกหลักจากที่ใส่เสื้อแล้วไม่ใช่เหรอ?” สัญลักษณ์ความเป็นกษัตริย์ของตัวเอง "ความจริงข้าอยากจะตอบปากกา แค่เพราะมันไม่มีเลยขอ ดาบ แล้วกัน" เด็กหนุ่มนั่งประสานมือเขาด้วยกัน “ข้าเคยเป็นอัศวินมาก่อน เพราะอย่างนั้นข้าคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ข้าสามารถใช้และแสดงพลังของตัวเองออกมาได้มากที่สุด” สิ่งที่มอบให้ประชาชน มงกุฏ” เขาตอบสบายๆในขณะที่หยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรซักอย่างบนสมุดบันทึกเล่มเล็ก “มงกุฏอาจจะเป็นตัวแทนของราชา แต่พวกเขาจะได้รู้เมื่อสวมสิ่งนั้นว่าน้ำหนักของทองและอัญมณีนั้นหนักหนามากแค่ไหน ต่างจากดาบที่ใช้ทำอะไรอย่างไม่ยั้งคิด.. แต่ในสายตาข้า ใครจะครอบครองมงกุฏนั่นก็ได้ทั้งนั้นตราบเท่าที่ยังรู้ตัวอยู่ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ข้าไม่ต้องการเป็นกษัตริย์ แต่ข้าจะขอเป็นคนถือดาบและเฝ้ามองพวกเขาดีกว่า” เวลาที่ต้องทิ้ง จะทิ้งอะไร ตามลำดับ เขายกยิ้ม แทบไม่ต้องคิดเลยเมื่อต้องตอบคำถาม “มงกุฏ เพราะเมื่อราชาสละบัลลังก์ สิ่งที่ต้องถูกส่งต่อก็คือมงกุฏ และของแบบนั้นไม่จำเป็นสำหรับข้า สิ่งที่ไร้ประโยชน์และมีแต่จะถ่วงแข้งขา และทำให้ผู้คนหมายตาข้าไม่ต้องการ แหวน มันเป็นสัญลักษณ์ที่ดี แต่ถ้าต้องเลือกให้ทิ้ง ข้าคิดว่าคงไม่เก็บมันเอาไว้ คทา ใช้ร่ายเวท พยุงตัว การเดินทางไกลต้องพึ่งคทา.. และข้าเคยคิดว่าหากต้องทิ้งทุกสิ่งไป ข้าก็จะออกเดินทางต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ” เขาเค้นหัวเราะเมื่อมาถึงตัวเลือกสุดท้าย แววตานั้นเหมือนกำลังมองย้อนกลับไปถึงอะไรบางอย่างที่ผ่านมา “ดาบ เส้นทางที่ข้าเลือกจะเดินข้างหน้าอาจจะมีอะไรมาขัดขวางอีกมาก และข้าก็จะทำทุกทาง เพื่อที่จะก้าวผ่านพวกมันไปให้ได้



No comments:

Post a Comment