Thursday, December 26, 2019

[EED] คนขี้โกหก 01 Oct 2012



   ซีนันไม่ชอบคนโกหก

   ฉันจะโดนตีถ้าเธอจับได้ว่าคำพูดของฉันไม่ใช่เรื่องจริง เธอจะตีฉันตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ ซีนันไม่ชอบเวลาใครซักคนพูดอะไรที่ไม่เป็นความจริงแล้วเธอมารู้ทีหลัง ซีนันบอกว่ามันเป็นการทำลายความรู้สึกของคนฟังที่เชื่อใจเธอ


   แมทเทียสเองก็บอกฉันว่าเขาเกลียดคนโกหก

   และแมทเทียสก็ต่อว่าฉันบ่อยๆตอนที่จับได้ว่าคำที่ฉันพูดออกไปนั้นมันเป็นเรื่องโกหก แมทเทียสบอกว่ามันไม่ดี ฉันไม่สมควรจะพูดอะไรที่ไม่เป็นความจริงออกไป ฉันไม่ควรจะเสแสร้งและไม่ควรจะทำมันอีก อีกอย่างนึง ที่แมทเทียสเกลียดที่สุดคือตอนที่ฉันโกหกว่าไม่เป็นอะไร แมทเทียสบอกว่าแค่เวลานี้เท่านั้น ที่เขาเกลียดรอยยิ้มของฉันเหลือเกิน

   ฉันบอกเขา ว่าเข้าใจ จะไม่ทำอีก แต่แมทเทียสไม่เชื่อ เพราะฉันจะขานรับเขาแบบนี้ทุกครั้ง ฉันรับปากเขาทุกครั้ง และแน่นอน

   ..ฉันโกหกเขาทุกครั้ง...


   ก็เหมือนกับตอนที่ได้เจอนาย ฉันเองก็ยังคงโกหก คำพูดของฉันไม่ใช่ความจริง และตัวฉันก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรกับเรื่องนั้นเลย ฉันโกหกนายครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ฉันโกหกนายทุกคำแม้กระทั่งคำว่าสบายดี เหมือนว่ามันไม่มีความจริงมาจากฉัน ถ้านายรู้ว่าฉันโกหกนายมากแค่ไหน นายอาจจะเกลียดไปเลยก็ได้

   แต่บางครั้งนายก็รู้ บางครั้งนายก็ไม่ แต่อาจจะรู้มากขึ้นเพราะฉันโกหกนายบ่อยจนเกินไป โกหกจนนายบอกว่าฉันโกหกจนมันเหมือนจะกลายเป็นเรื่องจริง โกหกจนกลายเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่นายอาจจะเลิกให้ความสนใจ


   แต่ฉันก็ยังโกหกต่อไป..

   เพราะคำทุกคำที่ฉันพูด ฉันก็แค่...คิดว่ามันอาจจะทำให้นายสบายใจขึ้น แต่ก็ไม่..

   เหมือนกับแมทเทียสและซีนัน พวกเขามักจะมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น สายตาที่เจ็บปวดลึกๆ ซึ่งบางครั้งนายก็เผลอทำโดยไม่รู้ตัว ถึงมันจะไม่บ่อย และนานมากก็ตามกว่าจะได้เห็น แต่มันก็กรีดหัวใจฉันทุกครั้งเช่นกัน

   มันทำลายฉัน.....ฆ่าฉัน


   จนกระทั้งได้เจอกับอันเซดรา – ท่านแม่ – ผู้หญิงคนนั้น – เธอตบฉันด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี แต่มันก็เบาเหลือเกินหากเทียบกับบาดแผลและแรงปะทะจากการต่อสู้ที่ฉันเคยพบ เธอบอกฉันว่าฉันเหมือนกับท่านพ่อ นิสัยพวกนี้

   “คนขี้โกหก”

   จะว่าไป คงมีเท่านี้ที่เหมือนกับท่านพ่อ ไม่ใช่ส่วนที่ดี แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดมันหรอก เพราะมันก็เป็นเพราะตัวของฉันเองด้วย แต่อาจจะเพราะฉันคิดแบบนั้น มันก็เลยไม่เคยได้รับการแก้ไขซักเท่าไหร่


   แต่จะให้ฉันพูดออกไปได้ยังไง ใช่ อิจฉา...ฉันอิจฉา ฉันโกรธ ฉันเกลียด อยากจะทำลาย อยากจะร้องไห้ อยากจะตาย ตายไปซะ แล้วหายไป หายไปจากทุกที่ หายไปจากความทรงจำ...แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่กล้าหาญขนาดนั้น และใช่
  
   ฉันอ่อนแอ...

   ฉันอ่อนแอนายรู้ไหม ฉันว่านายอาจจะรู้ หรือก็คงไม่ เปล่า..ไม่ใช่ร่างกาย ข้างในนี้ หัวใจต่างหาก ใช่.. หัวใจและจิตใจ มันอ่อนแอ ฉันอ่อนแอ ไม่ใช่คนเข้มแข็งเลย ไม่เหมือนกับเด็กนั่น เจ้านั่นเข้มแข็งกว่าฉัน ถึงจะในคนละความหมาย แต่ก็เข้มแข็งกว่ามาก

   แค่ในวันนั้นวันที่อยากจะตายไปซะ ฉันก็ยังคงทำตามคำพูดของแมทเทียส ฉันยังมีชีวิต ทั้งที่ยืนยันแทบตายว่าจะลบตัวเองทิ้งไปซะ แต่ฉันทำไม่ได้.. บางทีแล้วฉันเองก็คงไม่อยากจะตายอยู่ในส่วนลึกๆด้วยก็ได้ ไม่รู้สินะ แมทเทียสบอกคนที่ฆ่าตัวตายนั้นคือคนที่หนีปัญหา ฉันเองก็มีปัญหาที่อยากจะหนี มีเรื่องที่อยากจะทำให้วิ่งออกไป หนีไป ไม่ก็ขังตัวเองเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ

   เอาเถอะ ฉันก็คงไม่ทำในสิ่งที่คิดหรอก เพราะถ้าทำก็เท่ากับผิดสัญญา และถ้าถึงตอนนั้นฉันอาจจะไม่กล้า....หรืออาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ แค่คำโกหกมากมายในตอนนี้ยังทำเอาฉันแทบมองหน้านายไม่ติดอยู่แล้ว ถ้าหนีไป ฉันคงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ

   นี่...นายรู้อะไรไหม ฉันว่าฉันควรจะขอบคุณนายนะ กับแรงผลักดันที่นายอาจจะไม่ได้ตั้งใจ หรือจะอะไรก็ตาม มันทำให้ฉันเริ่มจะอยากมีชีวิตขึ้นทุกวัน แต่ในบ้างครั้ง ก็อยากที่จะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปจริงๆก็ตาม

   ฉันดีใจ...ฉันเสียใจ 

   ขอบคุณ...และขอโทษ... 


   ที่ทำให้เราได้มาเจอกัน...นานาเฟ

  

-------------------------------------------------------------------------------------

[EED] Memory: Kayseal.1 29 Sep 2012


[Memo:Kayseal.1] Mattias: หอนางโลม


     “แมทเทียสชอบที่แบบนี้เหรอ”

     ข้าเลิกคิ้วหันไปมองผู้ตั้งคำถาม เด็กมนุษย์ที่ข้าพามาด้วยนั่งอยู่ข้างๆ ดื่มน้ำผลไม้ที่เหล่าสาวชาวมนุษย์ในสถานที่ซึ่งเรียกว่าหอนางโลมเอามาให้ ดวงตาของเด็กนั่นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างแล้วหากนับจากช่วงเวลาที่ผ่านมา และแน่นอน..ความกล้าในตัวก็เพิ่มมากด้วยเช่นกัน

     ใช่...มากพอๆกับความปากเสียที่ทำให้ข้าหลุดยิ้มออกมาได้ทุกครั้ง..

     หากนับเพียงแค่ฝีปาก เด็กนี่ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เสวนากับใครซักคนเมื่อนานมาแล้วทีเดียว

     “บุรุษเพศหากไม่พึงปรารถนาในสาวงามย่อมเสียชั้นเชิงชายเสียหมดนะเด็กน้อย” ข้าเชยคางเขาขึ้น หวังเพียงจะได้เห็นความอายอย่างไร้เดียงสาเหมือนเด็กทั่วไป แต่ข้ากลับต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือเสียเองเมื่อเห็นความไม่หวาดกลัวในดวงตาคู่นั้น กลับกัน...มันกลับยิ่งท้าทาย มันทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าคิดผิด

     “งั้นแล้วทำไมผู้ชายสองคนตรงนั้นถึงจูบกันอยู่ละแมทเทียส”

     คำถามนั้นทำเอาข้าแทบสำลักเหล้ารสเลิศในมือ ข้ามองไปตามปลายนิ้วที่ชี้ไปมุมห้องอีกฝาก สถานที่นั้นมีบุรุษสองร่างกำลังกอดก่ายกันอย่างเร่าร้อน ข้ารีบดึงให้เจ้าเด็กปากดีหันกลับมาแล้วตีมือให้กดลง

     “อย่าไปชี้ มันเป็นความชอบส่วนตัวของเขา..”

     “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกได้รึเปล่าว่าสองคนนั้นเขาเสียชั้นเชิงชาย”

     เจอคำถามนี้เข้าไปข้าถึงกับจนปัญญา.. จะว่าพวกเขาเสียงเชิงชายมันก็อาจใช่ แต่คิดว่าคงเป็นในอีกคนละความหมายเสียมากกว่า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรให้เด็กมนุษย์ผู้นี้ได้รับรู้และจะไม่ถามอะไรที่ทำให้ข้าจนปัญญายิ่งกว่านี้กลับมา

     “เรื่องนั้น.. โตขึ้นเจ้าคงเข้าใจ” ข้าตัดจบเขาด้วยบทพูดประโยคเบสิก เห็นใบหน้านั้นง้ำงอแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะลองแหย่เล่น “แล้วตัวเจ้าละ คิดว่าสตรีหรือบุรุษ แบบไหนเล่าที่น่าสนใจยิ่งกว่ากัน”

     ได้ผล.. เด็กนั่นเงียบไป ก่อนจะตอบกลับมาด้วยคำที่ทำเอาข้ายิ้มค้าง

     “ไม่รู้สิ.. ฉันแค่สิบเอ็ดขวบนะจะไปรู้เรื่องแบบนั้นได้ยังไง ฉันสิคงต้องถาม ว่าแมทเทียสน่ะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่า”

     “การที่ข้ามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้แล้วยังการันตีให้เจ้าไม่ได้อีกหรือ...”

     “นั่นนายกำลังจะบอกฉันรึเปล่า ว่านายเองก็อาจจะมีรสนิยมแบบผู้ชายสองคนนั้นด้วยเหมือนกันน่ะ”

     ข้าถึงกับเงียบกริบ ใครกันนะที่เป็นผู้สั่งสอนให้ออกมาปากเสียเช่นนี้ คิดแล้วข้าก็ถอนใจ ข้ารู้ตัวว่าคนผู้นั้นต้องไม่ใช่ข้าแน่นอน เพราะข้าจำไม่ได้ว่าตัวเองจะอาจหาญพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้หรือไม่โดยเฉพาะกับเด็กที่อ่อนวัยกว่าข้าหลายร้อยปี แต่ถึงจะได้ ข้าก็ขอยืนยันว่าเด็กนี่เป็นด้วยตัวของมันเองไม่ใช่ข้า!

     แต่แล้วเด็กนี่ก็หัวเราะ อาจจะเพราะเห็นว่าข้าเงียบอยู่นานจนคิดว่าตนชนะแล้วก็เป็นได้ แต่ข้าก็ไม่ถือ ไม่ท้วงอันใด เพราะข้ามั่นใจว่าฝีปากของข้าคงไม่อาจสู้ได้จริงๆ

     เอาเถอะ..

    ข้าเท้าคางมองรอยยิ้มของเด็กมนุษย์นั่น มันไม่ได้ดูใสซื่อหรืออ่อนต่อโลกอะไรนัก แต่ก็นะ..

     เป็นเด็กที่...เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาจริงๆนั่นแหละ..








[แถมนิดหน่อย]


     “นี่แมทเทียส”

     “อะไรละเด็กมนุษย์”

     “นี่ดื่มได้รึเปล่า” เขายกแก้วเหล้าที่ข้าวางไว้ข้าตัวขึ้น ก่อนจะกระดกดื่มไปหมดแก้วโดยไม่รอข้าตอบ “อืม.... ก็โอเคนะ” ใบหน้านั้นแดงเล็กน้อยตามระดับของเหล้าที่ได้รับ หากแต่กลับไม่ปรากฏแววว่าวิงเวียนอันใดนอกจากหันไปคุยกับหญิงสาวที่เข้ามาพูดคุยอย่างเอ็นดู

     “นี่แมทเทียส”

     ข้าหันไปหาอีกครั้ง เขานั่งเท้าคางด้วยสองมือ และมองข้ากลับด้วยดวงตาสีเขียวหัวเป็ดที่กระพริบสองสามครั้งก่อนยิ้มเผล



     “ฉันว่าฉันเนื้อหอมกว่านายละ”




     ....................ไอ้เด็กนี่.....................











-----------------------------------------------------------


   ตอนเด็กเป็นงี้ ทำไมโตมาเป็นงั้น(ฟะ)!!!  /คาดว่าผลน่าจะมาจากอะไรนิดหน่อย /ปาดน้ำตา


   ถ้าใครรู้สตอรี่ของเขาแล้ว แมทเทียสคือปีศาจที่เขาอยู่ด้วย 3ก่อนเจอนนาเฟ และมาเรียนที่โรงเรียน ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเครียดบ้าง แต่แต่งสองคนนี้แล้วสนุกดี.. เล่นกับแมทเทียสแล้วสนุกมาก :'D!!


   ก็คิดว่าจะคลอดออกมาเป็นตอนสั้นๆไปเรื่อยๆละน้า..  เออลืมไป ตอนนี้โปรตีน 11 ขวบครับ ส่วนแมทเทียส.. นั่นสินะ......


   ความจริงชื่อจั่วหัวควรเป็นชื่อแมทเทียสด้วย แต่ว่ามันพอร์ตตรงเข้าตัวโปรตีนมากกว่า ถ้ามีชื่อคนอื่นไปมันน่าจะมึนกว่า ก็เอาโปรตีนนี่ละใส่ไป..


ปล.   เรื่องนี้ผมจะเน้นแนวเล่าข้ามไปข้ามมานะครับ อาจจะไม่มีชื่อเรื่องมีแต่ชื่อคน เพราะผมอาจจะเอาลูกคนอื่นมายัดๆใส่ไป ก็นะ...... เราแต่งตามความชอบ ผมเน้นความแนว ไม่เน้นขายครับ ปลงแล้ว  /โดนต่อย


[EGOT][NPC] Alma: Sub-Event: 01 25 Jun 2013

 
 
 

   ในสมัยที่ท่านพ่อยังคงอยู่ ท่านพ่อชอบคุยกับข้าบ่อยครั้ง ท่านมักจะสั่งสอนข้าเสมอ ทั้งในเรื่องของการเล่าเรียนเขียนอ่าน การจับอาวุธ และการใช้สมาธิ ท่านสอนข้าทุกอย่างที่ท่านรู้ และแน่นอน..ท่านเองก็สอนคลาเดียไปพร้อมๆกับข้าด้วยเช่นกัน

   แต่ก็มีบางครั้งที่พวกเราพ่อลูกจะนั่งคุยกันตามภาษาผู้ชาย ในยามที่น้องสาวของข้าหลับไหล ท่านพ่อมักจะสอนเสมอ ทั้งสั่งและย้ำเตือนข้าในทุกๆนาทีถึงเรื่องของสมาธิ และความสงบในจิตใจ

   ท่านพ่อของข้าชอบตั้งคำถาม ตั้งคำถามที่บังคับให้ข้าต้องตอบตามความจริง และไม่รู้ว่าเพราะท่านอยู่กับข้ามานานหรืออย่างไร ต่อให้ข้าโกหกไปท่านพ่อก็จับได้อยู่ดี

   ท่านพ่อของข้าเกลียดคนโกหก...แต่เพราะคนโกหกนั้นกลัวคนอื่นจะรู้ความจริง คนโกหกจึงจำต้องโกหก มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ไม่ว่าใครก็รู้กันทั้งนั้น เพราะว่าพวกเขากลัวการต่อว่าและทุบตีจึงจำต้องเบี่ยงบ่ายหรือหาสิ่งอื่นมากล่าวเพื่อปกปิดความจริง

   แต่ในตอนสุดท้าย ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว หากมีผู้ใดล่วงรู้ความลับเหล่านั้น..คนโกหกก็จะถูกจับได้และจะต้องลงโทษอยู่ดีไม่ว่าจะพยายามมากอย่างไร ซึ่งผู้ลงโทษทุกคนมักกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าหากไม่มีคำโกหกก็ไม่มีการลงโทษ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็อาจจะเป็นไปได้และไม่ได้ กับระดับความรุนแรงที่ต่างกันไปก็เท่านั้น


   เหมือนกับข้า..


   ในวัยเยาว์นั้นตัวข้าอายุเพียงไม่กี่สิบปีคลาเดียยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง

   ท่านพ่อยังคงตั้งคำถามหากแต่ข้านั้นกลัวที่จะตอบ คำถามของท่านพ่อนั้นพิลึกพิลั่น..แต่กระนั้นข้าก็ได้ยินจนชาชินเหลือเกิน เพียงแต่ในบางครั้งคนเราก็ไม่อาจที่จะตอบในสิ่งที่อยู่ลึกๆในจิตใจของเราออกไป

   ครั้งแรกที่ท่านพ่อจับได้ว่าข้าโกหก ครั้งนั้นข้าถูกตบจนหน้าหัน

   ท่านพ่อข้าเป็นคนใจดีแต่เข้มงวดมาก ท่านเริ่มป่วยออดๆแอดๆตั้งแต่ในวันที่ท่านแม่เสียไป อาการณ์ของท่านทรุดบ้างดีบ้างตามแต่เวลาและสภาพแวดล้อม แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็เป็นนักรบเก่า แรงของท่านมากพอจะทำให้ใบหน้าข้าหันไปอีกทางได้ง่ายๆในการตบเพียงครั้งเดียว และท่านก็ต่อว่าข้า กล่าวถึงเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเกียรติยศและชื่อเสียง ถึงความสูงส่งของการเป็นนักรบ...เป็นอัศวิน

   ท่านกล่าวว่าพวกเราไม่ควรโกหก เพราะมันจะติดเป็นนิสัย เพราะจะไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวเราอีก เพราะหากวันใดเรามีเจ้านาย มันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว -- รวมถึงตัวเอง -- ซึ่งข้าในตอนนั้นไม่เข้าใจเอาเสียเลย

   และถึงท่านพ่อจะกล่าวแบบนั้น ข้าก็ยังคงโกหก แม้จะไม่ได้โกหกทุกเรื่อง แต่บางเรื่องข้าก็ไม่กล้าที่จะพูดถึงความจริง คำสอนส่งของท่านพ่อเอาตามตรงแล้วไม่เคยไหลเข้าหัวของขาเลย แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงตัวข้าในแบบที่ท่านอาจจะไม่อยากให้เป็น

   มันสอนให้ข้าได้รับรู้ความจริงในคำโกหก ถึงคำโกหกที่แสนบิดเบือน

   ปะปนกันจนแยกไม่ออก

   แน่นอนว่าตัวข้ายังคงไม่อาจเข้าใจถึงแต่ละคำถามที่ท่านนั้นมักเอ่ยถามข้าเลยแม้ซักนิด


   “อัลม่า ลูกชายข้า..”

   ครั้งนึงท่านพ่อเอ่ยถามข้า

   “เจ้าเคยฝันถึงบางสิ่งบนหอคอยสูง ที่ต้องเหยียบซากศพผู้คนต่างบันไดขึ้นไปหรือเปล่า”

   “ไม่ครับท่านพ่อ” ในตอนนั้นข้าตอบออกไป ใช้เวลาพักนึงถึงเริ่มอธิบายต่อ “มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร”

   “ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการมากน่ะเหรอ” ท่านพ่อถามย้ำ เริ่มจี้เข้ามาเรื่อยๆ “จะหาที่ไหนไม่ได้อีก มีแค่สิ่งนั้นเท่านั้นที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเจ้า เจ้าจะปล่อยมันไปเช่นนั้นเหรอ”

   ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือไม่ แต่ท่านพ่อมักจะจี้ถามเรื่อยๆจนกว่าข้าจำต้องยอมที่จะตอบคำว่าใช่ แต่พอข้าตอบกลับไปอย่างนั้น ท่านพ่อก็จะตบข้า.. ท่านกล่าวว่ามันเป็นการฝึกจิตใจในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งข้าไม่เคยเข้าใจ เพราะท่านพ่อไม่เคยใช้มันกับคลาเดีย ท่านทำเพียงพูดแต่กับข้า

   “จะเอายังไงละอัลม่า หากสิ่งที่เจ้าต้องการเป็นของนายเหนือหัว เป็นของที่เจ้าปรารถนา เจ้าจะหักหลังนายของเจ้าหรือไม่ เจ้าจะกล้าพอไหมที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองสิ่งที่มีเพียงแค่ตัวเจ้าเท่านั้นที่คู่ควร”

   เรื่องนั้นข้าไม่รู้ เอาตามจริงข้าในตอนนั้นอยากจะตอบไปว่าข้าจะแย่งชิงมาให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงหากข้าปรรถนาแล้วการจะได้มาก็เพียงแค่ต้องพยายามและไขว่คว้าให้มากขึ้นไป แต่หากกล่าวเช่นนั้นไปท่านพ่อคงตบข้าอีก ข้าจึงต้องกล่าวปฏิเสธ และอีกหลายต่อหลายคำที่ท่านพอจะสรรหามาถามไถ่

   ข้าไม่เคยเข้าใจท่านพ่อของข้าเลย...




   แต่มาในตอนนี้ข้าก็เริ่มจะเข้าใจ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ข้าเข้าใจดีในสิ่งที่ท่านพ่อปรารถนาจะสอนสั่งข้า

   ..ความทะยานอยาก.. 

   ข้าได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดในวันที่ท่านพ่อของข้าจากไป สิ่งที่ท่านสอนสั่งมานั้นล้วงเป็นเพียงคำลวงหลอก ท่านได้หว่านเมล็ดไว้ในตัวข้า เฝ้าบ่มเพาะให้มันเจริญเติบโตขึ้นมา

  ..ให้รากมันหยั่งลึกลงไป....


   พอย้อนนึกแล้วก็นึกไปถึงในวันที่ท่านพ่อจากพวกข้าไป มันเป็นคืนหนึงในฤดูหนาวที่อากาศเย็นยะเยือกพร้อมจะกัดกร่อนลงไปถึงขั้วหัวใจ ข้าเป็นคนแรกที่ได้พบศพของท่านพ่อ ท่านนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่เย็นเฉียบไม่ต่างอะไรกับรูปสลักหิน

   คลาเดียที่ตามมาพบร้องไห้อย่างหนัก พวกเราสรุปกันว่าท่านพ่อเสียชีวิตจากอาการป่วยที่ทรุดหนักลง งานศพนั้นเรียบง่ายมีผู้คนมากมายนัก บรรดามิตรสหายของท่านพ่อต่างกล่าวถึงวีรกรรมมากมายของท่านในสมัยที่ยังมีชีวิตในสมัยที่ท่านยังรุ่งเรื่อง...ในสมัยก่อนที่ท่านจะสูญเสียหัวใจไปพร้อมกับการลาจากของท่านแม่

   สตรีผู้ช่วงชิงทุกอย่างของท่าน..


   แต่สิ่งที่ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันคือการที่ท่านไม่สมควรที่จะตายเพราะโรคภัย บุรุษเช่นท่านพ่อควรจะตายอยางอาจหาญในสงคราม หรือไม่ก็จากไปอย่างสงบยังเหมาะสมเสียกว่า

   ข้ายืนฟังเรื่องทุกอย่างอย่างสงบ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดยามที่ผู้คนต่างแยกย้ายกันออกไป



   ในคืนนั้นข้าเดินมานั่งที่เตียงของท่านพ่อ เอ่ยกระซิบกับแผ่นไม้และแผ่นหิน บอกคำลาและพูดเรื่องมากมายที่ข้าไม่ได้กล่าวออกไปในยามที่ท่านพ่อยังมีชีวิต ความกล้าของข้าอาจจะมีเพียงแค่ในตอนนี้ หรือไม่ก็เพียงเพราะตัวข้าเสียดายที่ไม่อาจได้กล่าวออกไปก่อนหน้านี้ได้

   ข้าลูบมือไปตามแผ่นเตียงของท่านพ่ออย่างรักใคร่...ท่านพ่อที่กล้าหาญ...ท่านพ่อที่เคยเป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัวจนกระทั่งในวันที่โรคภัยเริ่มฉุดรั้งท่านจนต้องวางดาบลง...ท่านพ่อที่แสนดี..



“หากข้ามีสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนอกจากคลาเดียเมื่อใด..ข้าจะช่วงชิงมันมาให้จงได้ท่านพ่อ...”




   ข้าตอบพร้อมไล้มือไปบนฟูกหนาเพียงเผื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของนักรบหาญ










   ของชายแก่ผู้สิ้นใจลงด้วยหมอนเพียงใบเดียว...

[END]



เฮ่ยยย ชอบอะ ดราม่าดี
พ่อเจ๋ง เท่มากชอบความคิดพ่อมากอะ
//บรีบบ่านะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีก็ได้นะ5555 ความอยากได้นั่นน่ะ
#1 By[vehoon 2013-06-25 02:48
ชอบมาก...  เป็นคุณพ่อที่มองการณ์ไกล
 แล้วตอนนี้อัลม่า... จะมีความทะยานอยากในเรื่องอะไรอย่างที่สุดแล้วบ้างนะ
#2 Bywineoleton 2013-06-25 19:05
ชอบนะโม่ว บ่งบอกถึงปมของตัวละครชัดดีอ่าา ชัดดี ชอบท่านพ่อของอัลม่า ดูเป็นนักรบที่เข้มงวดแต่ชอบทิ้งอะไรไว้ให้ลูกคิดด้วยตัวเองงงง
#3 ByWolf.Gon 2013-06-26 10:34
กำลังสงสัยอยู่พอดีเลยค่ะว่ามีเหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณพ่อที่ใจดีเข้มงวดกับเรื่องการโกหกได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเคยเป็นนักรบมาก่อนนี่เอง
หรืออาจเป็นเพราะคุณแม่ที่เสียไปก็ได้ เลยทำให้คุณพ่อคิดได้ว่าจะต้องดูแลลูกๆให้เป็นอย่างดีให้ได้ ถึงจะไม่มีความอบอุ่นจากแม่ แต่ความแข็งแกร่งเป็นเสาหลักอาจทดแทนแทนก็ได้ในความคิดของคุณพ่อ
แต่พออ่านเรื่อยๆก็ชักอยากรู้แล้วค่ะ ว่าคำถามที่คุณพ่อถามมาจะมีอะไรบ้าง ถึงได้ทำให้อัลม่าคิดหนักขนาดนี้ :'D
ช่วงที่คุยอยู่กับเตียงของคุณพ่อนี่ให้อารมณ์ทั้งเหงาทั้งหนักอึ้งได้ดีจริงๆค่ะ จนมาถึงประโยคสุดท้ายนี่แหละ แต่แปลกดีที่อ่านแล้วถึงจะชะงักไป แต่ภาพรวมของช่วงนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย มีแต่จะทำให้หนักหน่วงขึ้นเสีอีก

ขอบคุณที่ร่วมกิจกรรมนะคะ :)
#4 ByEGoTon 2013-06-28 00:54
คุณพ่อเท่เหลือเกิน 
ชอบท่านพ่อง่ะโม่วจ๋า
#5 ByLionel EGoTon 2013-06-30 15:11
ชอบบทบรรยายรอบนี้ของเจ้าจัง >///<
ท่านพ่อเจ้าเป็นพ่อที่ดีนะอัลม่า  สิ่งดีบางอย่างก็เข้าใจได้เมื่อเจ้าโตขึ้น....
แต่ข้าแอบกลัว....
เจ้าเป็นเด็กเมืองเหนือที่ดำริว่าจะช่วงชิง /สั่น
รอดูต่อไป....
ของชายแก่ผู้สิ้นใจลงด้วยหมอนเพียงใบเดียว...<< ใคร............
#6 ByA.A the wolfon 2013-06-30 17:35
ทำไมเราอ่านแล้วรู้สึกเหมือนโดนโหม้วจับโยนให้ลอยอยู่ในความเวิ้งว้างว่างเปล่าแล้วถูกดึงฟึ่บกลับมาก่อนจะตีให้จมดิน
ฟิคนี้นี่สื่อถึงพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออกจริงๆเลยอะ...คุณพ่อ แล้วก็คำโกหก คุณพ่อ แล้วก็คำโกหก
ชอบที่อัลม่าทำแบบนี้(?) ถึงแม้โลกจะไม่ยอมรับ แต่อย่างน้อยนายยอมรับตัวนายเองก็ดีแล้ว เราชอบ
#7 ByStar* of Radianceon 2013-07-02 17:32
ประโยคสุดท้ายคือการเฉลยสาเหตุการตายของท่านพ่อสินะคะ...
อ่านแล้วรู้สึกว่าอัลม่าได้ลิ้มรสการช่วงชิงครั้งแรก... ใช้บทเรียนที่ท่านพ่อสอนสั่ง... นั่นคือสิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่เติบโตกับมันมาทุกลมหายใจ
และอาจจะเป็นสิ่งที่ใช้พรากลมหายใจของคนอื่นด้วย...




[EWAW][Event] Welcome to my place: Brasov Day1 28 Jun 2013

บทความ(?)นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม
 
 
 
คอมมูนิตี้นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก การ์ตูนเรื่อง Axis Powers Hetalia เป็นคอมมูที่สมมติตัวละครโดยมีต้นแบบมาจากเมือง/รัฐในประเทศต่างๆ ซึ่งคอมมูนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคล องค์กร เมือง หรือประเทศใดทั้งสิ้น เล่นเพื่อความบันเทิง
 
คำเตือน - ผมไม่เคยไปเที่ยวที่วาติกันผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ขอโทษด้วยนะครับ
 
 


   ตอนนี้ชายที่อยู่ข้างผมคือคนที่หลายๆคนเรียกว่าคุณA สิ่งมีชีวิตที่หน้าตาไม่ได้กระเดียดไปทางมนุษย์ปกติซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้อัปลักษณ์เหมือนพวกก๊อปลินหรอก.. เขาแค่หน้าตาประหลาดก็เท่านั้นนั่นแหละครับ

   อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเจอคน หรือปีศาจตนไหนที่มีตัว A แปะอยู่บนหน้าแบบนั้นมาก่อน


   บางทีอาจจะเป็นลูกตา แต่ใครจะไปสนกันจริงไหมละ ถึงผมจะอยากลองเอาปากกาปักไปกลางตัวอักษรตรงนั้น แต่ถ้าเป็นลูกตาขึ้นมาจริงๆผมก็คงต้องเสียค่ารักษาให้เขาอีก เพราะงั้นอย่าดีกว่า

   อย่างไรซะหน้าที่ของผมคือการดูแลเขาตลอดสามวัน และพาไปเที่ยวรอบเมือง.. เอาตามจริงนะครับ สำหรับผมแล้วผมรู้สึกว่ามันเสียเวลาเป็นที่สุด ตั้งแต่กลับมาจากที่โรงเรียนผมมีงานเอกสารสำคัญอีกเป็นตั้งที่จะต้องทำ – และบางงานก็ไม่สามารถส่งผ่านอีเมลล์ได้ – เลยทำให้อะไรๆมันยุ่งยากไปเสียทุกอย่าง

   แต่ก็เพราะรับมาจากน้องหญิงเอเดรียน่าแล้ว จะให้ปล่อยทิ้งไปตรงนี้เดี๋ยวก็ไปฟ้องชาวบ้านอีก การที่อุส่าห์ทำตัวเป็นคนดียังไงก็ต้องทำให้ถึงที่สุดสินะ

   อา....น่ารำคาญชะมัดเลยให้ตาย....

   ให้ราเรสแนะนำเมืองให้แทนได้ไหมน่ะครับ..ขี้เกียจชะมัดเลย


   ตอนนี้ผมให้คนฝากเอากระเป๋าของคุณA ไปไว้ที่โรงแรมก่อนแล้ว เพิ่มมาจากซินายาคงจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก ถึงจะเหนื่อยก็ช่างมัน ตอนนี้สายมากแล้ว รีบให้จบวันไปจะได้ไม่ต้องเก็บไว้นาน

   อ๋อ อย่าลืมไปอ่านการบ้านของน้องหญิงของพวกผมด้วยนะครับ

   Sinaia : Welcome to my Place [Part I , II , III ]
 
 
 

- Day 1 -


   “เอาละครับคุณเอ ผมจะเริ่มแนะนำเมืองแบบง่ายๆแล้วกันนะครับ”

   และหน้ากากของรอยยิ้มแสนดีของผมก็ถูกใส่อีกครั้ง จุดเริ่มต้นที่ผมพาเขาไปคือตรงจตุรัสกลาง หรืออีกชื่อที่คนเรียกกันก็คือ ‘หัวใจของบราซอฟ’ ใช่ครับที่นี่คือหัวใจของตัวผมเอง เป็นจุดรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญๆเอาไว้มากมายทีเดียว

(Town Hall)

   อย่างน้อยทั้งวันพามัน..เอ๊ย คุณA เดินๆวนไปรอบๆนี่ก็คงได้ ยังไงซะก็มีอะไรๆให้ดูเยอะแยะ พอวนเสร็จก็เย็นพอดี เมืองปิดไฟแล้วก็ได้วิวสวยแปลกตาไปอีกแบบ แล้วค่อยพามัน..เอ๊ย เขาวนกลับมาอีกครั้งก็พอ ตอนเย็นค่อยพาเข้าบาร์ มอมนิดหน่อยพอเป็นพิธี พรุ่งนี้จะได้ตื่นสายๆ จะได้ไม่ต้องพาไปไหนมากมายนัก

   ก็เป็นอย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าตอนเที่ยงๆสายๆแดดของโรมาเนียจะแรงมากพอๆกับลม และไม่ใช่แรงแบบอบอ้าว แต่เป็นแรงแบบแสบผิวเลยทีเดียว.. อย่างผมที่เป็นเด็กเผือกก็ตากแดดมากไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่ต่างจากพวกอัลบิโน่(คนเผือก) ทั่วไปตรงที่เป็นเมือง อย่างน้อยตาผมก็ไม่แพ้แสง และตากแดดได้มากกว่าพวกเขา

   เพราะแบบนั้น อย่างวันนี้กว่าที่พวกเราจะออกมาก็เริ่มจะสายมากแล้ว ผมให้เขาใส่หมวก (วึ่งเขาคว้าเอาหมวกสานใบใหญ่ที่พกติดมาด้วยสวมเดิน) ส่วนผมกางร่ม มีราเรสเป็นลูกมือ และออกมาเดินทัวร์กัน


   “บราซอฟ คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นทรานซิลวาเนียครับ เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในไข่มุกเม็ดงามของโรมาเนียทีเดียว หรืออีกชื่อที่รู้จักกันคือ ‘สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่งโรมาเนีย’ ที่ถูกกล่าวแบบนั้นเพราะ.....ครับ? คำถามเหรอครับ?”


   ผมมองเขาที่ยกมือขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ในสายตาผมแล้วเหมือนลูกหมามากเลยละครับ..หมาตัวเล็กๆที่กระโดดไปกระโดดมา แหม...น่าขยี้จริงๆเนอะ

   แต่ผมที่ไม่สามารถจะแสดงความจริงใจของตัวเองออกมาได้ เลยตีหน้ายิ้มให้ เอาความตอแหลเข้าว่า มองคำถามคำถามโง่ๆอย่างว่า ‘ทำไมถึงเรียกว่าไข่มุกน้ำงาม’ ‘ถ้าเป็นหนึ่งในนั้นก็แสดงว่ามีอีกหลายที่ใช่ไหม’ ‘เมืองไม่ติดทะเลแล้วมีไข่มุกขายด้วยเหรอ’

   นั่นโง่จริงหรือแกล้งโง่กันน่ะครับ ไม่เข้าใจเอาซะเลยนะเนี่ย แต่เอาเถอะ ตอนนี้ผมทำตัวเป็นคนดีอยู่ จะตอบให้ก็แล้วกัน

   “มันเป็นคำเปรียบเปรยน่ะครับ ว่าเมืองสวยเหมือนกับไข่มุก.. หรือคุณเอคิดว่าเมืองของผมไม่สวยละครับ แบบนั้นน่ะใจร้ายนะครับ ผมเสียใจจัง...” ผมยิ้มบางลง แสร้งตัดเพ้อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด ทำไปงั้นแหละ แต่หุบปากแล้วไม่ขัดได้จะดีมาก วันนี้ผมต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อออกมาพาคุณเปิดหูเปิดตาเชียวนะ อย่าถามเรื่องไร้สาระมากนักได้ไหม

   “ต่อเลยนะครับ” ผมว่า เมื่อเห็นเขาดูสลดลงไป อึกอักลนลานขอทาขอโพย...โธ่ น่าสงสารจริงๆ แต่ไม่เห็นใจหรอกนะครับ

   “ที่เมืองของผมถูกเรียกว่า ‘สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่งโรมาเนีย’ ก็เพราะว่ามีความงดงามจากทั้งธรรมชาติที่อยู่รายรอบและสถาปัตยกรรมศิลป์มากมายอยู่ในเมืองยังไงละครับ”

(Old buildings in Brasov)

   อ๋อผมลืมไป.. ตอนที่ผมอธิบายให้เขาฟัง ผมก็พาเขาเดินไปรอบๆนั่นแหละ ตอนแรกราเรสเสนอว่าจะให้เอารถกอล์ฟมาขับพาเขาชม แต่ผมเห็นว่ามันจะมำให้เวลาเดินไวเกินไป แล้วคุณA ที่นอกจากจะไม่เหนื่อยแล้ว อาจจะอยากให้พาไปโน่นไปนี่อีก เสียใจด้วยนะ ไม่มีทางซะละ

   “ตอนนี้เรายู่ที่จัตุรัสกลางเมืองบราซอฟ ถูกเรียกว่าหัวใจของเมืองบราซอฟ เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งอาคารสภาชุมชนเมืองที่มีอายุอานามกว่าพันปี ที่สำคัญรอบ ๆ จัตุรัสแห่งนี้เป็นแหล่งชุมนุมของสถาปัตยกรรมศิลป์หลายสมัย นับตั้งแต่อาคารแบบโรมาเนสก์ โบสถ์สไตล์เรอเนสซองซ์ โรงแรมแบบบาโร้ก รวมถึงร้านกาแฟภายในอาคารแบบโรโคโค ซึ่งสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย จัตุรัสแห่งนี้คือที่มาของการขนานนามว่า ‘บราซอฟคือเมืองงามที่สุดของโรมาเนีย’ ยังไงละครับ”

(The City Hall Square)

   เพราะครั้งแรกผมเผลอพูดรัวเกินไป ครั้งที่สองเลยต้องพูดให้ช้าลงมาอีกหน่อย แล้วคุณA ก็หยิบเอาสมุดเล่มเล็กๆมาจดโน่นนี่นั่นตามที่ผมพูด ผมต้องคอยสะกดให้เขาฟังอีกที ช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ ให้เขาเขียนชื่อของยุคสมัยของงานปฏิมากรรมพวกนี้ให้ถูกต้อง

   เอาเถอะ ดี..ผลาญเวลาให้มันเยอะๆไปเลยนะ

   “ส่วนตรงนั้นนะครับ” ผมชี้ไปตรงหอคอยข้างลานน้ำพุ “นั่นคือหอคอยทรัมปีเตอร์ ซึ่งอยู่ในจัตุรัสกลางบราซอฟ หอคอยนี้มียอดบนของอาคารเป็นโดมรูปหัวหอมซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมศิลป์แบบไบแซนไทน์ ที่รุ่งเรืองในยุโรปตะวันออกและรัสเซียมานานหลายศตวรรษเลยละครับ”

(Town Hall)

   ผมแนะนำเขา นั่งไขว่ห้างบนม้านั่งที่มีตั้งรอบลานน้ำพุพลางมองเอกสารในมือตอนที่เขาทำท่าประหลาดๆในการถ่ายรูปหอคอยนั่น เหมือนจะพยายามถ่ายโดมหัวหอมที่อยู่ด้านบน แล้วซักพักเขาก็เริ่มถ่ายนก ถ่ายน้ำพุ ถ่ายไปเรื่อยจนผมโบกมือปล่อยให้เขาเดินเล่นรอบๆจตุรัสนี้ซักครึ่งชั่วโมง ไม่ลืมสั่งให้ราเรสตามไปคุมด้วย

   หน้าตาแบบนั้นคงไม่มีใครฉกตัวไปหรอก แต่ถ้าหายไปจริงๆคงเป็นเรื่องกับทางโรงเรียนน่าดู

(Town Hall)

   “อืม..เรื่องของถนนบางส่วนที่ต้องซ่อมแซมงั้นเหรอ” ผมพึมพำ นั่งตรวจเอกสาร และเซ็นในส่วนที่คิดว่าจำเป็น

   ผ่านไปจนน่าจะได้เวลาที่นัด ผมก็เก็บของแล้วเริ่มมองหาเงาของสองคนนั้น เห็นอยู่ไม่ห่างนักว่ากินไอศครีมกันจะเสร็จพอดี

   ผมยิ้ม

   “ไปกันต่อเลยนะครับ”


   “ตอนนี้พวกเรายู่กันที่ถนน Sforii ว่ากันว่าถ้ามาแล้วยังไม่เคยไปจะเท่ากับมาไม่ถึงบราซอฟ” ผมแนะนำ พาเขาเดินไปเรื่อยๆ ฝูงคนที่มีไม่ถือว่ามาก - น้อยจนเกินไปนัก “ถนนสายนี้นอกจากจะแคบที่สุดในโรมาเนียแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นถนนสายที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอีกด้วยนะครับ เพราะสร้างมานานกว่าพันปีเลยละ นอกจากนี้ย่านนี้ยังถือเป็นย่านที่ศิลปินชาวบราซอฟมักออกมาประชันฝีมือกันอยู่เสมอ โดยมันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเพื่อเป็นทางเดินสำหรับนักดับเพลิง แต่ปัจจุบันถนนสายนนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและจุดนัดพบที่สำคัญของเมืองเลยละครับ”

(Strada Sforii)

   ว่าแล้วก็มองไปรอบๆที่มีร้านรวงเล็กๆมากมาย มีคนมาขาย มีคนมาซื้อ คุณA ดูจะตื่นเต้นมาก เขาลากผมกับราเรสไปดูโน่นดูนี่ จนผมดยนราเรสให้เขาลากไปนั่นแหละ เขาถึงปล่อยให้ผมไปนั่งจิบกาแฟเตอร์กิชรออย่างสงบซักที



   หายไปเป็นช่วโมง คุณA กลับมาพร้อมของฝากเล็กๆน้อยๆ ผมยิ้ม

   เสียเงินให้พวกผมเยอะๆนั่นแหละดีแล้วครับ




   “ส่วนตรงนั้นก็พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง พิพิธภัณฑ์นั้นจะตั้งอยู่ในศาลากลาง ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจหลายๆอย่าง บางชิ้นมีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยยุคหินเลยละครับ” ผมอธิบาย เขาดูตื่นเต้นเหลือเกิน “แต่พอดีวันนี้มีปิดปรับปรุงน่ะครับ”

   ตัดความหวังกันหน้าด้านๆ

   “แล้วเห็นยอดสูงๆตรงนั้นไหมครับ ที่นั่นคือโบสถ์ดำ (Black Church) เราจะไปที่นั่นกันนะครับ” ผมชี้ให้คุณA ที่ทำหน้าหงอยเหงาให้ดูสิ่งก่อนสร้างทรงสูงที่ดูจะเด่นที่สุดในเมือง เขากลับมาสดใสในทันที เหมือนกับเด็กที่พอมีอะไรใหม่ๆมาล่อก็จะลืมเรื่องก่อนหน้าไปสนิทใจ

(Black Church)

   พวกเราใช้เวลาพักนึงในการเดินทาง หยุดดูโน่นนี่ไปตามภาษา คุณA ดูเหนื่อย แต่ผมกับราเรสไม่เหนื่อย เพราะงั้นผมเลยพาเขาเดินต่อไปแบบไม่พักจนกว่าจะไปถึงตัวโบสถ์ไปเลย

   “ถึงแล้วละครับ”

(Black Church)

   หันไปอีกทีคุณA ทำเหมือนกำลังจะหมดลม ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่ควรใส่ใจขนาดนั้น ยังไงก็ไม่ตายง่ายๆหรอก ไปมาหลายประเทศแล้วนี่นา

   ผมให้ราเรสเอาน้ำไปให้เขา ปลอบใจเล็กน้อย แล้วหยิบยื่นเหตุผลว่ามันเป็นการออกกำลังกายทางนึงขึ้นมาให้เขาเชื่อ แล้วอธิบายต่อ ถ้าจะท้วงอะไรมาอีกตอนนี้ก็เรื่องของคุณ ผมไม่ฟัง เพราะผมภูมิใจกับที่นี่มากทีเดียว

   แผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดบนตัวของผม และไฟภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงประวัติศาสตร์ของบราซอฟ..


   “ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยคนโรมันในปีคศ.1383 ในแบบศิลปะโกธิค และยังมีหอระฆังหกตันที่ใหญ่ที่สุดในโรมาเนียยู่ด้วยละครับ แต่จากมุมนี้คงเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่หรอกนะ” ผมหันไปบอกคุณA ที่พยายามชะเง้อมอง ขอโทษเถอะครับ ตัวเตี้ยแบบนั้นพยายามยังไงคงเห็นแค่เสี้ยวระฆัง

(Black Church)

   ผมพาเขาเดินดูรอบนอกก่อน ระหว่างเดินชมก็พูดต่อไป “สาเหตุที่เรียกว่าที่เรียกว่าโบสถ์ดำ ก็เพราะว่าลักษณะภายนอกที่ถูกไฟไหม้เมื่อ ค.ศ.1689 ทำให้คราบดำจากเขม่าได้ไปเกาะที่ผนังโบสถ์ จนเป็นสีดำทะมึน ทางรัฐบาลโรมาเนียจึงทิ้งให้อยู่ในลักษณะนี้เพื่อให้เป็นจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้ครับ” ตอนผมพูด หน้าคุณA ดูเหวอๆ ผมเลยแกล้งเสริมต่อ

   “ไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองครั้งนั้นมีคนตายเกือบถึง 3,000 คนเลยนะครับ” ครั้งนี้คุณA หน้าซีดไป ไม่รู้ว่าเพราะกลัวผีหรือคิดภาพตามจนหลอนกันแน่

   แต่มันก็ใหญ่มากจริงๆ โดนไฟไหม้มา6 ครั้งตั้งแต่เกิดมา มีครั้งนั้นแหละที่คนตายมากที่สุด ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวผมเองก็จะนอนนิ่งจนขยับไปไหนไม่ได้อยู่นานเหมือนกัน..เพราะไหม้หมดทั้งเมืองรวมไปถึงจตุรัส หัวใจและร่างทั้งร่างถูกเผาเกือบหมดยกเว้นปลายมือปลายเท้า

   เจ็บจนอยากจะตายซะตรงนั้น

(Black Church)

   “ภายในโบสถ์มีพรมที่ถักทอด้วยมือของชาวเติร์กแขวนอยู่ทั่วระเบียงโดยรอบด้วยนะครับ มันเลยทำให้ข้างในมีสีจัดจ้านและสามารถช่วยทำให้โบสถ์มีสีสันสดใส นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพระแม่มารีและนักบุญคนอื่นๆตั้งอยู่แทบทุกแห่งภายในโบสถ์ด้วยนะ” ผมพาเขาเข้าไปดูข้างใน

   “ห้ามถ่ายรูปครับ”

   ไม่ลืมที่จะเตือน ริบมันมาทั้งกล้อง

   เหมือนว่าคุณA จะเสียดายน่าดู เลยใช้เวลาอยู่ในโบสถ์นานเหลือเกิน เอาเถะ จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ยังไงซะที่นี่ก็ที่สุดท้าย แล้วก็ใกล้โรงแรมที่ผม(ให้คน)หาให้เขาด้วย พอเขาเลิกดูเลิกอาลัยแล้ว ผมก็พาเขาเดินไปที่โรงแรม เรื่องว่าจะพาไปเดินตอนกลางคืนและให้ไปที่บาร์คงต้องยกเปนวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เขาดูจะเริ่มเหนื่อยและอยากพักมากแล้ว

   ดี ตื่นให้สายๆนะ

   “ความจริง ถ้าเป็นในวันปีใหม่ที่นี่จะมีเทสกาลฮานุกกะห์ (Hanukkah) จัดด้วยนะครับ” ผมบอกเขา เขาถามผมกลับว่ามันคือเทศกาลอะไร ก็รู้แหละนะว่าเทศกาลนี้คงไม่ค่อยรู้จักกันซะเท่าไหร่เพราะมันเป็นเทศกาลของชาวยิว ผมอธิบายให้ฟังต่อไป

   “Hanukkah (ฮานุกกะห์) หรือ Chanukah(คานุกกะห์) คือ เทศกาลแห่งแสงไฟของชาวยิว (festival of lights หรือในภาษาฮีบรูเรียกว่า Chag Ha'Urim ครับ”
(Black Church)

   “Hanukkah เป็นวันเทศกาลแห่งแสงไฟของชาวยิวซึ่งมีขึ้นในช่วงกลางฤดูหนาวของทุกปีครับ เทศกาล นี้มีช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองยาวนานถึง 8 วันติดต่อกันสำหรับชาวยิวที่อาศัยอยู่นอกประเทศอิสราเอล ส่วนที่ประเทศอิสราเอลเองนั้น Hanukkah หรือ festival of lights จะฉลองกันนาน 1 อาทิตย์”

   ในระหว่างที่ผมเดินพูดไป เขาก็เดินไปจดไป น่าแปลใจที่ไม่มีการสะดุด หรืออาจจะไปมาหลายประเทศจนเริ่มจะชินกับการเดินจดก็ได้นะ

    ที่คุณA ไม่ค่อยคุ้น็คงไม่แปลก ถ้าจะให้คงเป็นวันคริสต์มาสเสียมากกว่า จริงๆแล้วเทศกาล Hanukkah นั้นจะใกล้กับวันคริสต์มาสของทุกปีหรือในบางปีตรงหรือคาบเกี่ยวกัน ด้วยเหตุนี้หลายๆคนจึงมักจะเรียกเทศกาลวัน Hanukkah ว่าเป็นวัน Jewish Christmas เพราะจะมีการรับเอาประเพณีอย่างเช่นการประดิดประดอยของขวัญและการประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนมาใช้ด้วย

   เอาตามจริง..เทสกาลนี้เป็นเรื่องที่่ค่อนข้างขมขื่นพอตัว เพราะแต่เดิมนั้นมันที่มาจากการลุกขึ้นต่อสู้จักรวรรดิกรีกของชาวยิวกลุ่มหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระในการนับถือศาสนา เพื่อให้ชนชาติของตนได้ดำรงอยู่ต่อไป ได้กลับกลายมาเป็นเทศกาลที่ซึมซับวัฒนธรรมประเพณีใหม่ๆเข้ามาแทน แต่ก็ไม่ถึงกับถูกดูดกลืนไปเท่าไหร่หรอก...แต่ก็นะ น่าเศร้าเหมือนกันนะครับว่าไหม

   “อ๊ะ ครับ...ขอโทษนะครับผมไม่ทันฟัง” ผมรีบขอทาคุณA ตอนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายนั้นเรียกผมอยู่หลายรอบ ผมยิ้มรับแล้วบอกให้เขาถามผมใหม่อีกครั้ง

   “อ๋อ..คำว่า "Hanukkah" ในภาษาฮีบรูนั้นมี 3 ความหมายนะครับ คือ การอุทิศตน การศึกษา และการเริ่มต้น Hanukkah ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของตระกูลมัคคาบีส (The Maccabees) ที่มีเหนือกองทัพของกษัตริย์แอนไทอะคัสที่ 4(Antiochus IV) แห่งซีเรียเมื่อประมาณ 165 ปี ก่อนคริสตศักราชโน่นน่ะครับ”

   คุณAทำตาโต ผมยิ้ม ไม่ได้บอกอะไรอืนอีก

   “ส่วนตอนนี้ มันก็ถือเป็นตัวแทนของเทศกาลส่งความสุขสิ้นปีและเป็นเทศกาลแห่งแสงไฟยังไงละครับ เพราะเทศกาล Hanukkah เป็นเทศกาลที่เป็นดังแสงสว่างที่เข้ามาในความืดของความสิ้นหวัง พระเยซูคริสต์จึงเป็นความหวังใจ ของทุกคนที่มีความหวังใจไม่ย่อท้อในความยากลำบาก”

   พอพูดเรื่องแบบนี้ด้วยรอยยิ้มแบบนี้ รู้สึกตัวเองเหมือนจะกลายเป็นคนดีขึ้นมาทันทีเลยละครับ

   อา..ตอแหลกันเข้าไป..



   ในที่สุด...หลังจากอธิบายเรื่องเทศกาล Hanukkah จนเพลิน พวกเราก็มาถึงโรงแรมแล้วครับ โรงแรมนี้อยู่ไม่ห่างจากตัวโบสถ์ดำเท่าไหร่ ที่นี่คือโรงแรม Casa Albert ครับ เป็นโรงแรมสามดาวที่ใกล้สถานที่น่าชมอีกหลายที่เลยละครับ

   ผมพาคุณA ไปดูห้อง.. เป็นห้องที่กว้างในระดับนึงเลยละ แต่คุณA บ่นว่ามันดูมืดๆทึมๆผมเลยต้องเปิดหน้าต่างให้เขา



   ....อยู่ไปไม่ตายหรอก มีที่นอนให้เป็นโรงแรมระดับ3ดาวที่ผมไม่ได้ให้คุณควักเงินจ่ายเองก็ดีเท่าไหร่แล้ว...



   เอาเป็นว่า เรื่องอาหารนั้นคุณA ก็จะทานอาหารทั่วไปของทางโรมแรมไปก่อน พรุ่งนี้ผมถึงจะพาเขาไปทานอาหารประจำชาติ.. เพราะอย่างนั้นก็ขอตัวลากันตรงนี้ก่อนนะครับ


   เจอกันพรุ่งนี้ ขอบคุณครับ



อ่านแล้วรู้สึกเลยว่ามิไฮแอ๊บแรงกล้า๕๕๕๕๕
แต่อ่านไปก็เพลินนะ เหมือนฟิคมีรูปประกอบ บราซอฟสวยจังเลย /ฟิน
อยากไปโบสถ์อ่ะ มันใหญ่อลังมากกกกกก เห็นขนาดแล้วตะลึง
สมกับเป็นสวิสน้อยของโรมาเนียจริงๆนะ 
#1 By+Ishin_Kuu+on 2013-06-28 01:28
ชอบตรง...พอพูดเรื่องแบบนี้แล้วดูเหมือนคนดีขึ้นมา
....
..
..
.
"อา ตอแหลกันเข้าไป" 55555555555555555555555555555555 โอ๊ยยย โบสถ์สวยอ่ะะะะะะะะะะะ แงงงง บ้านมิไฮสวย TvT อ่านเว้นนี้แต่ละคนแล้วบับ...อยากไปป งืดดดดดด
#2 ByMaMaon 2013-06-28 08:07
เวเซลิน่า : เรื่องหน้าตาคุณเอที่เป็นแบบนั้นอาจจะเพราะเขาเป็นชาวเกาะในแถบๆทวีปอเมริกา ที่นั่นอาจจะมีเรื่องแปลกๆอีกหลายเรื่องที่พวกเราไม่รู้ก็ได้นะคะ
บ้านของคุณ สมกับที่เป็นเมืองสวิตเซอร์แลนด์น้อยนะคะ ทั้งธรรมชาติ ทั้งสถาปัตย์
แต่กว่าจะเป็นเมืองที่สวยงามแบบนี้.........อืม........บางเรื่องก็ดูไม่พูดถึงจะดีกว่ารึเปล่านะ....../พึมพำ
ส่วนที่พาเที่ยว...เพราะที่เราพาไปเป็นบ้านของเรา เรื่องเที่ยวก็ต้องตามใจเราถูกแล้วล่ะค่ะ/หัวเราะเบาๆเพราะตัวเองก็ทำแบบนั้นมาแล้ว..
.
.
อ่านแต่ละช่วงที่เป็นความคิดของมิไฮแล้วแบบ....มิไฮร้ายจัง.../แอบนั่งขำ/โดนต่อย
ฮือ แต่พอมาซีนโบสถ์ดำแล้วสงสารขึ้นมา โธ่มิไฮโดนมาเยอะ.../เศร้า
ทำเอาอยากไปบราซอฟด้วยคนเหมือนกัน รอวันต่อๆไปนะคะ สู้ๆปล. นอกเรื่องไปนิดแต่ขำรูปหน้าที่ทำเครดิตมากค่ะ.../เผ่น
#3 Byhaha55on 2013-06-28 20:58
โฮ้ยยยยย อ่านแล้วเหนื่อนแทนมิไฮที่ต้องแอ๊บตลอดเวลา แต่ท่าทางพี่แกจะทำจนชินแล้วสินะ 5555555555+
อ่านตรงโบสถ์ดำแล้วแอบสะเทือนใจอ่า...
#4 ByNanNy-Bon 2013-07-06 13:34