ตอนที่เขามีสัมพันธ์กับดาราเวย์เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
ไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ได้เข้าไปสำรวจร่างกายของเธอ หรือตอนที่เธอประทับรอยทิ้งไว้ตามแผ่นหลังของเขา เขาไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำยามที่ได้จูบกับเธอ และเปลี่ยนความรู้สึกที่วาบหวาม ..ทั้งที่เธอเป็นคนสวยที่ใครๆต่างก็ปรารถนา แต่ถึงอย่างนั้นการร่วมรักครั้งนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
อัลม่าคิดว่าเขาอาจจะผิดปกติ ถึงแม้เขาจะทิ้งความรู้สึกที่ร้อนผ่าวไว้ในร่างของดาราเวย์ แต่ร่างกายเขาก็แค่ตอบสนองตามที่ชายคนหนึ่งพึงมียามที่ได้ร่วมรักกับใครซักคน แต่ไม่มีความรู้สึกอื่น ไม่มีความอิ่มเอม ไม่มีความสุขสำราญ มันมีแค่ความรู้สึกที่เรียบเฉยเหมือนตอนที่ตนกำลังยืนมองกำแพงหิน...แต่อย่างน้อยตอนมองกำแพงหินมันก็ทำให้เขาได้คิดอะไรๆ เพราะอย่างนั้นบางทีตอนนี้เขาอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น..
มันอาจจะมีความผิดปกติซักแห่งในหัวของเขา แต่เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นคลาเดียหรือท่านพ่อ และแม้แต่ดาราเวย์ก็ยังไม่เคยรับรู้ ถึงพวกเขาจะร่วมหลับนอนกันมามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยถาม และเขาก็ไม่เคยพูดออกไป
หญิงสาวข้างกายเขายังคงนอนมองเขาอย่างยั่วยวน เธอไล่มือมาตามผิวของเขาชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ และเขาก็ลูบผมเธอเบาๆ บอกให้เธอหลับ และเธอก็หัวเราะ บอกว่าตัวเองใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ
“ท่านกำลังจะไป”
“….”
“ใช่จริงๆ ท่านกำลังจะไป” เธอพูดต่อเมื่อไม่ได้ยินคำตอบของเขา หญิงสาวคนนี้มีผมสีทองและดวงตาสีเขียวเหมือนมรกตเม็ดงาม..คงมีแค่ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้เขามีความรู้สึกอื่นกับเธอ และเมื่อเขาพยักหน้า เธอก็ถอนใจ
“ได้ข้าแล้วก็ไป เหมือนกับคนอื่นๆ” เธอตัดเพ้อ
เป็นความจริงที่ถึงแม้อดีตนั้นดาราเวย์จะเป็นลูกพ่อค้าที่มั่งมี เป็นคนที่สวยยิ่งกว่าใคร แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องที่น่าเศร้า เธอถูกขายให้กับหอนางโลมด้วยเหตุผลที่เขาไม่เคยถาม รู้เพียงว่าบรรดาชายหนุ่มที่เคยทนุถนอมและบอกรักกับเธอก็เข้ามา ไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือ แต่ทุกคนกลับมาทำร้ายเธอ ย่ำยีเธอ
ดอกไม้ดอกหนึ่งในแจกัน ถูกเด็ดจนไร้ค่าแล้วโยนทิ้งเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป.. เหมือนกับดาราเวย์ที่แสนเศร้า เธอจากความสบายที่เคยพบมาอยู่ในสถานที่สกปรกที่เธอไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง
เปรอะเปื้อนและหมองหม่น.... เหมือนคราบสีน้ำตาลที่แห้งกรังบนผืนผ้าที่ซักไม่ออก
และมันก็เปลี่ยนแปลงเธอไป..จากดอกไม้งาม กลายเป็นอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป เธอไม่ใช่ดอกไม้สูงค่าในแจกัน แต่เหมือนดอกไม้ริมทางที่มีไว้ให้แมลงได้วนเวียนมาและบินผ่านไป
หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง เธอขยับตัวมากอดเขาเหมือนจะโหยหาเอาอุ่นจากร่าง แต่ไม่มีมากกว่านั้น เธอเพียงแค่ยิ้ม
“ก่อนจะไปท่านเล่านิทานให้ข้าฟังทีสิ คืนนี้หนาวเหลือเกิน..แต่ถ้าท่านยังยืนยันจะไป อย่างน้อยก็ช่วยอยู่ด้วยกันจนกว่าข้าจะหลับ”
“แต่ข้าควรจะกลับบ้าน ตอนนี้ดึกมากแล้ว”
“งั้นข้าก็จะไปส่งท่าน”
ในตอนแรกเขาก็ว่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อดวงตาคู่นั้นจ้องมองมา เขาก็จำใจตอบตกลงแล้วลุกขึ้นแต่งตัว
ดาราเวย์ฮำเพลงกล่อมเด็กระหว่างที่สวมใส่ชุดผ้าสีสดใสแต่ดูหยาบกร้านยามสัมผัส ความจริงเงินที่นางได้ เสื้อผ้าสวยๆที่มีคนมอบให้ นางก็เอามันไปขายทั้งหมดสิ้น แลกกับการเก็บเงินเอาไว้เพื่อซักวันจะได้พาตัวเองออกไป..ซึ่งอาจจะไม่มีวันนั้น หรืออาจจะมี
นางไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ไม่ลืมที่จะหาผ้ามาคลุมกายอีกชั้นให้ร่างกายได้อบอุ่นเข้าไว้
พวกเขาสองคนก้าวผ่านผู้คนที่เบาบางเพื่อออกไปด้านนอก น่าแปลกใจที่ดูจะไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา และคนเฝ้าประตูก็ดูเหมือนจะหลับใหล เมื่อออกมาถึงภายนอกเขาก็หันไปมองเธอ ดวงตาสีเขียวของดาราเวย์ในค่ำคืนนี้เหมือนกับตาของท่านแม่..มันกำลังมองตรงมาที่เขา และนั่นคือเหตุผลที่เขาชอบจ้องมองเธอ เพราะมันทำให้เขาหายคิดถึงท่านแม่ที่จากไป
นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดาราเวย์ไม่ได้รับรู้...แค่ตัวแทน
พวกเขาจูบกัน...ไม่ได้ดูดดื่มเท่าไหร่ แต่ก็พอจะทำให้เธอพอใจและไม่ร้องขออะไรมากไปกว่านี้
ระหว่างที่ก้าวไปด้วยกันเขาให้เธอได้คล้องแขน ซบศีรษะกับไหล่ของเขาตามสบายระหว่างที่เริ่มต้นเล่านิทาน
“กาลครั้งหนึ่งมีแม่กับลูกอาศัยด้วยกันสองคนอยู่ในกระท่อมนอกกำแพง ทั้งที่บิดานั้นอยู่ในตัวของกำแพง แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ทำให้พวกเขาต้องแยกจากกัน แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองก็จะหาทางไปพบพ่อของพวกเขาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้........”
“ทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันไม่ได้ละ” ดาราเวย์ถามขัด
“เพราะเหตุผลบางอย่าง” เขาตอบ เธอเลิกถาม เขาเล่าต่อ
“เดือนแล้วเดือนเล่า พวกเขาได้พบกัน ได้มีรอยยิ้ม และได้มีความสุข.. จนกระทั่งในคืนที่จันทราเป็นสีเลือด.. สองแม่ลูกเดินกลับไปตามทางเก่าอย่างคุ้นชิน หญิงสาวจับมือลูกชายและร้องเพลงให้เขาฟังเพื่อไม่ให้เขาต้องกังวลอะไร ทั้งที่รู้ว่าอันตราย..แต่บ้านที่ต้องเดินผ่านชายป่า เหมือนจะอยู่ลึกเข้าไปในความมืด จนบางครั้งก็น่าสะพรึงกลัว
ตลอดมา มันไม่เคยมีอะไร...แต่ไม่ใช่คืนนี้
คืนที่หมาป่ายักษ์ตัวเขืองกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ ดักหน้าแม่ลูกเอาไว้.. เมื่อผู้เป็นแม่เห็นก็พยายามทันทีที่จะหนี แต่เมื่อหมาป่าตะปบได้ตัวลูกชาย มันก็กัดแขนเด็กชายยึดไว้ไม่ให้ไปไหน หญิงสาวจึงกล่าวอ้อนวอนต่อมัน
“ทำไมเจ้าถึงได้จากมา....” เสียงคำรามนั้นเหมือนสัตว์ร้าย แต่มันกลับมีความอ่อนล้าในน้ำเสียง
“อย่าทำร้ายเขา ข้ายอมแล้ว..” นางกล่าว ไม่แม้แต่จะตอบคำถามใดๆ “ขอเพียงปล่อยลูกชายของข้า.. เขาสำคัญต่อข้า..”
พริบตาเหมือนหมาป่าจะเกรี้ยวกราดขึ้น แต่เมื่อหญิงสาวทั้งเอ่ยขอและอ้อนวอน ในที่สุดแล้วหมาป่าร้ายก็ใจอ่อน
“หากเจ้ายังไม่ต้องการเสวนาก็โปรดเล่านิทานกล่อมข้านอนเถิด” มันตัดเพ้อพร้อมยื่นข้อเสนอ “เรื่องของเจ้า ข้าจะรับฟังมัน” ถึงปากกล่าวเช่นนั้น แต่มันก็กัดแขนเด็กชายแรงขึ้นจนเลือดไหลลงมา..เด็กชายพยายามจะดิ้นรน แต่ก็โดนกดกับพื้นจนเริ่มหายใจไม่ออก
ในตอนนั้นเด็กชายรู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดนั่น หมาป่าตัวนั้นเหมือนรู้จักกับมารดาของเขา แต่ไม่มีโอกาสให้เขาได้ถาม หมาป่านั้นกัดแขนเขาแน่นขึ้นจนเขาต้องจำยอมจะอยู่เฉยๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบตกลง เธอยอมที่จะให้มันหนุนตัก และเอ่ยเล่านิทานกล่อมนอน เธอสนทนากับมันโดยที่ลูกชายไม่ได้ยิน และเมื่อหมาป่าเข้าสู่นิทรา เธอก็พาลูกชายหลบหนีไป....”
ดาราเวย์ถามขัดขึ้นมาอีกครั้ง “หมาป่าตัวนั้นรู้จักกับนางได้ยังไง” อัลม่านิ่งไปชั่วครู่
“ตอนที่ข้าได้ยินมามันก็เป็นแบบนี้แล้ว” เขาปัดอีกครั้ง “มันอาจจะมีนิทานบทก่อนหน้า แต่ข้าไม่รู้หรอก”
“หลังจากนั้นไม่นาน หญิงสาวก็ได้ให้กำเนิดบุตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้าเฉกเช่นเดียวกับเธอราวกับแกะ.. ผู้เป็นบิดาดีใจมาก ซึ่งผู้เป็นมารดาต่างปิดปากเงียบไม่ยอมกล่าวถึงหมาป่าชั่วร้ายนั้น ซึ่งยังกำชับต่อลูกชาย ว่าไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้เอ่ยถึงมันอีก
กระนั้นผู้เป็นลูกยังเพียรจะถามต่อมารดาหลายคราถึงเรื่องราวของหมาป่า แต่นางก็ไม่ได้ตอบอะไร และหลังจากนั้นไม่นาน ผู้เป็นมารดาก็เริ่มเปลี่ยนไป นางมักอยู่แต่กับลูกสาว และคุยกับลูกชายน้อยลง จนบางครั้งก็ทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่เขาถามคำถามกับนาง นางจะเกรี้ยวกราดและทุบที...แต่เรื่องเหล่านี้ ผู้เป็นบิดาไม่เคยได้รับรู้
และหลังจากวันนั้น บ่อยครั้งที่เด็กชายได้พบกับหมาป่า มันมักจะมาหาเด็กชายทุกครั้งที่สามารถ ในตอนแรกเขาก็กลัว แต่ต่อมาก็เริ่มจะชิน หมาป่าตัวนี้ไม่ได้ทำร้ายเขาอีกเลยตั้งแต่วันนี้ มันมาคุยกับเขา พยายามที่จะคุย เหมือนกับต้องการบางสิ่ง
จนวันหนึ่ง เมื่อไม่ว่าเช่นไรมารดาก็ไม่ยอมพูดคุยกับตน เด็กชายจึงตัดสินใจเอ่ยถามถึงเรื่องของมารดา แน่นอนว่าหมาป่าดีใจมากที่เด็กชายยอมจะพูดคุย และมันก็ตอบคำถามเด็กชายอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบนั้นทำให้มารดาลงมือทำร้ายเด็กชายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเกิดมา....”
“คำตอบอะไรรุนแรงขนาดนั้น...”
“เดี๋ยวตอนเรื่องจะจบเจ้าก็ได้รู้เอง” เขามองตรงไป พาอีกฝ่ายเดินเลียบชายป่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แต่นางก็ไม่ได้ติดใจจะถามสิ่งใด
“คนเป็นลูกชายชอบนั่งมองน้องสาวที่หน้าตาเหมือนแม่ ดวงตาของทารกน้องชอบมองมาที่เขา เวลาเขาอุ้ม เด็กที่โยเยก็จะหลับ แต่มารดาไม่ค่อยให้เขาได้สัมผัสตัวน้อย อย่างนั้นก็ในเวลาที่บิดากลับมาบ้าน ส่วนนอกเหนือจากนั้น ..นางจะทำเหมือนเขาไร้ตัวตน...
และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นางก็มักทิ้งให้เขาอยู่บ้านเพียงลำพังในระหว่างที่นางไปหาบิดาหลังกำแพง พร้อมลูกสาวและคนรับใช้
และนั่นทำให้เด็กชายตัดสินใจเปิดประตูให้กับหมาป่าที่เพียรวนเวียนมาหาเขาทุกวัน..
ยิ่งมารดาหมางเมินลูกชายมากเท่าไหร่ เด็กชายกับหมาป่าก็สนิทกันมากขึ้นทุกที ถึงแม้เด็กชายจะรังเกียจสิ่งที่หมาป่าเคยลงมือทำร้ายเขา แต่หมาป่าตัวนี้ต่างจากมารดา มันสอนเขาทุกสิ่ง บอกเขาทุกอย่าง แม้ในวันที่ไม่มีใคร ตัวมันก็ยังคงหาทางมาหาเขาแทบทุกคืน
มันเป็นความผูกพันธ์ที่แปลกประหลาด....แต่เรื่องนั้นทั้งเด็กชายและตัวหมาป่าเองต่างก็รู้ว่ามันคืออะไร”
คนเล่าเรื่องหยุดพักหายใจก่อนเล่าต่อ
“และในวันที่เด็กชายได้กลายเป็นเด็กหนุ่ม..เรื่องราวนี้เกิดหลังจากการพบกันเพียงสองปี บิดาได้มอบเงินถุงหนึ่งให้เขาไปเลือกหาสิ่งที่เขาต้องการ และมารดาก็ทำอาหารให้กับเขา แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดี มารดาเพียงแค่ทำไปเพราะบิดาอยู่ด้วยเท่านั้น
คืนนั้นเป็นคืนจันทร์กระจ่าง และบิดาก็อยู่บ้าน โดยปกติแล้วหมาป่าจะไม่กล้ามาในเวลาที่ในบ้านมีคนอื่นนอกจากเขา แต่วันนั้นมันกระโจนขึ้นมาทางหน้าต่าง เข้ามาในห้องนอน และได้มอบสตรีนางหนึ่งให้แก่เขาเป็นของขวัญ
สตรีนางนั้นมีผมสีเงินเหมือนกับภูติพราย และสวมใส่อาภรสีเข้มที่ทำจากหนัง ประดับลวดลายแปลกตา นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใด และไม่อาจสัมผัสผู้ใดได้โดยตรง...แต่ก็ไม่ใช่คำสาป มันคือสิ่งที่นางเป็น สิ่งที่ทำให้เหล่านักรบคนปรารถนาและผู้คนบางส่วนรังเกียจมากในเวลาเดียวกัน
เมื่อได้มอบสิ่งที่จำเป็นให้แล้วมันก็กระโดดลงหน้าต่างจากไป โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของผู้เป็นมารดา....
เย็นวันต่อมาหลังจากที่บิดาจากไป และเด็กหนุ่มกลับจากการออกเดินเที่ยวเล่นพร้อมหญิงสาว สิ่งที่เห็นคือร่างหมาป่าที่นอนรวยรินอยู่แทบเท้าของมารดา เสียงร้องโยเยของน้องสาวดังมาจากที่ไกลๆ
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผิดพลาด เป็นทางเลือกที่ทำให้ผู้เป็นมารดาไม่อาจจะพบผู้ใดได้อีกเลย...”
“เดี๋ยวทำไมฉากถึงถูกตัด” ดาราเวย์ขมวดคิ้ว “ข้าพอเข้าใจโครงเรื่องราว แต่หลังจากที่หมาป่าคาบหญิงสาวมาข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ...” แล้วนางก็หยุดชะงักไป ก่อนเบิกตากว้างและมองชายข้างกาย
“จากที่ได้ยินมา เรื่องก็ถูกตัดข้ามมาแบบนี้แหละ” เขาพูดประโยคเดิมๆอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดาราเวย์ไม่ได้ตามเขาอีกแล้ว เขาหันไปมองเธอที่ไม่ยอมมองหน้าเขา ถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่แววตาของนางก็สื่อความรู้สึกออกมาได้มากมาย
"ข้าว่ามาส่งท่านไกลพอแล้ว ข้าคงต้องกลับ.." นางหันหลังให้เขา แต่เขาดึงนางเข้าอ้อมแขน และกอดเอาไว้
"อย่าเพิ่งสิ"
“...ท่านอัลม่า ข้า...”
เขาขยับยิ้ม อัลม่าเกลี่ยเส้นผมนางเล็กน้อยและจูบเบาๆที่ขมับ ดาราเวย์พยายามฝืนตัวดิ้นและขัดขืน มันทำให้เขาจำต้องกอดนางแน่นขึ้นไป “อย่าดื้อ” เขากระซิบ แต่นางก็ไม่ยอมฟัง มันทำให้เขาต้องกอดนางเอาไว้จนนางจะหยุด ดาราเวย์เลิกแล้วที่จะขัดขืน นางซบใบหน้าลงบนไหล่ของเขา ไม่ขยับตัวอีก และนั่นทำให้เบาจูบนางเบาๆอีกครั้งแทนคำขอบคุณที่ยอมอยู่นิ่งๆ ก่อนจะคลายอ้อมแขน... และเปลี่ยนมาอุ้มนางในท่าช้อนตัวขึ้นด้วยสองแขน
นางหลับไปแล้วและเขาก็ไม่อยากที่จะปลุก นอกจากอุ้มหญิงสาวในชุดแดง เดินหางลึกไปตามทาง...
“นี่ป้าๆ ป้าได้ยินไหม เรื่องของแม่โสเภณีตกยากคนนั้น”
“ที่บอกว่านางแอบหนีออกจากซ่องเข้าป่าและกลายเป็นอาหารสัตว์ป่าใช่ไหม”
“ใช่ป้า ตัวอะไรก็ไม่รู้ แต่ข้าว่าน่าจะเป็นหมาป่านะ เขาว่าศพนี่และไม่มีชิ้นดีเลย นี่ถ้าพวกพรานไม่เข้าป่าไปซากนางคงโดนกินไม่เหลือแน่ๆ”
เสียงกระซิบกระซาบที่ค่อนข้างจะดังนั้นเรียกให้หญิงสาวหันไปมอง คลาเดียหันกลับมาหาพี่ชายที่ลูบหัวสุนัขป่าที่เขาเก็บมาเลี้ยงอย่างรักใคร่
“อัลม่า...ได้ยินเรื่องพวกนั้นแล้วใช่ไหม”
“อืม” ผู้เป็นพี่ครางรับ เขาเกาหลังหูให้สัตว์สี่เท้าขนฟูที่ครางอย่างพอใจ “ทำไมเหรอ”
“ข้าว่าพี่เลิกพามันไปเดินเล่นตอนดึกๆเถอะ ถ้าเจอพวกหมาป่าขึ้นมาจะแย่เอา ถึงพี่จะเก่ง แต่มันล่ากันเป็นฝูงนะ”
อัลม่าหยุดมือ เขาเปลี่ยนมาขยี้ผมน้องสาวด้วยรอยยิ้มก่อนหันกลับไปเล่นกับหมาใหม่อีกครั้ง
"พี่...!"
“เข้าใจแล้ว” เขาตอบรับ....แต่ไม่ได้เอ่ยคำสาบาน....
[END]
No comments:
Post a Comment