[IF] Kanan.1
กลางดึกผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเรียกของพี่ชาย ดวงตาของพี่มองตรงมาเหมือนมีเรื่องมากมายจะพูด แต่ก็ไม่ สิ่งที่พี่ทำคือการโยนกระเป๋าใบนึงให้เท่านั้น แต่แค่นั้นผมก็รู้อะไรหลายๆอย่าง
ผมเองก็เหมือนพี่...
เพราะไม่อยากจะให้พวกเราต้องโดนจับแยกกันไปโดยไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ไม่อยากต้องแยกกันไปโดยไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นยังไง ผมเลยเข้าใจว่าพี่เองก็คงคิดแบบเดียวกัน
ที่ผมรู้ได้เพราะได้ยิน..พวกเราทุกคนได้ยิน แต่ไม่มีใครเอ่ยปาก พวกเราปิดปากเงียบและเข้านอนตามที่พวกเขาบอกอย่างว่าง่าย ทั้งที่ในใจต่างต่อต้านจนสุดกำลัง
และเมื่อพี่เลือกที่จะไป ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ พวกเราทุกคนไม่มีเหตุผลจะอยู่ต่อหากขาดใครซักคนไป และเมื่อพี่เลือกที่จะชวน แล้วทำไมต้องปฏิเสธ เพราะอย่างนั้นผมเลยรีบลุกขึ้นไปกวาดข้าวของเครื่องใช้ที่สำคัญเข้ากระเป๋าโดยไม่จำเป็นต้องพูดเตือนอะไรกันเลย
ในระหว่างที่ผมจัดของ พี่ชายก็เริ่มปลุกแมกโนเลียกับสองแฝด ออสวอลดูโทรมมากตอนที่ลุกขึ้นมา อาจจะเพราะเจ้าตัวเล็กร้องหนักมากตอนได้เห็นศพพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ดิสแคนเหมือนว่าจะยังไม่นอนด้วยซ้ำ น้องชายที่ปกติขี้เซาจนสามารถหลับที่ไหนก็ได้ในตอนนี้ดูเหมือนกับค้างคาว เด็กคนนั้นจัดของให้ตัวเองกับออสวอลไวกว่าปกติที่เอาแต่เฉื่อยชาเสียอีก
ผมคิดว่าบางทีคนที่เศร้าที่สุดอาจจะเป็นคนที่เลือกจะไม่แสดงอะไรออกมาก็ได้
เพราะดิสแคนมีบางอย่างที่คล้ายกับพี่...กับแม่... พวกคนที่มีอะไรจะไม่ค่อยชอบแสดงออก โดยเฉพาะเรื่องของความเศร้าและเจ็บปวด พวกเขาเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้มากที่สุด
ผมจำเป็นต้องจัดของให้พี่ชายด้วย ไม่ใช่เพราะพี่ไม่ได้ทำอะไร เขาทำเสร็จแล้วต่างหาก เก็บของเสร็จก่อนจะปลุกพวกเราด้วยซ้ำ แต่มันก็มีข้าวของบางอย่างที่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็น พี่โยนหน้าที่ให้ผมช่วยจัดการต่อ ผมก็เลยต้องแยกเอามันออกไป แล้วเอาของของพวกเรารวมใส่กระเป๋าใบเดียวกัน
ตอนที่ผมเห็นสมุดรวมภาพถ่ายในกระเป๋าพี่ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเลย แต่ผมก็ยัดมันกลับเข้าไป แต่เลือกเพียงรูปแค่ใบเดียว
รูปใบเดียวที่มีทุกคน..
พอเริ่มหันกลับมาดูคนอื่นบ้าง แมกโนเลียอาจจะจัดของเสร็จเป็นคนสุดท้ายก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ใช้เวลานานเป็นชั่วโมง เธอคว้าแค่เสื้อตัวโปรด ชั้นใน และมีดสั้นทีได้มาเป็นของขวัญเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เธอช้าคือความซึมกระทือของเธอมากกว่า ผมต้องช่วยเธอในการเอาของของสองแฝดยัดใส่กระเป๋าใบนั้น ทุลักทุเล แต่ไม่ลำบากเท่าไหร่
เมื่อกระเป๋าทุกใบถูกจัดจนครบ มันก็มีแค่ใบใหญ่สองใบที่ใช้หารใส่ชุดของพวกเราทั้งหมดเท่านั้น พี่ชายหยิบลูกแก้วเวทที่ใช้กักภูตออกมาสวมไว้ที่คอ และมอบที่เหลือแจกให้น้องทุกคนคนละเส้น มันเป็นของขวัญที่แม่บอกจะให้ตอนถึงเวลาที่สมควร แต่เพราะมันไม่มีทางมีวันนั้น พวกเราจึงแบ่งกันไป
พวกเราใช้เวลาพักนึงในการซึมซับบรรยากาศของความรู้สึกสุดท้ายในสถานที่ที่ใช้เป็นบ้านมากว่าสิบปี จากนี้ไปพวกเราคงไม่กลับกันมาอีกแล้วแน่ๆผมเชื่อแบบนั้น และต่อให้ได้กลับ มันก็คงกินเวลาไปอีกกว่าสิบปีแน่นอน
พี่ชายนั่งผูกผ้าห่มกับผ้าม่าน และต่อกับผ้าปูเตียง พวกเราช่วยกันดึงทดสอบ มันดูเป็นเชือกที่แข็งแรงทนทาน แต่ใช้งานคงได้แค่ไม่นานนัก ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคืนนี้
คนที่ลงไปคนแรกคือตัวผม โหนตัวลงไปเหมือนที่พ่อเคยสอนพี่ชายตอนปีนเขา แต่พอดีคนที่ได้รับการสอนคือพี่ชาย เขาที่เคยได้แค่มองเลยปฏิบัติมันได้แบบทุลักทุเล แต่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ระหว่างที่โหนตัวลงมานั้นผมแอบส่องมองห้องที่อยู่ด้านล่าง ไฟของมันส่องเข้าตา ที่นั่นผมได้ยินบทสนทนาที่น่าเบื่อ
ใครจะต้องไปอยู่กับใคร... แค่นี้ก็ไม่อยากฟังแล้ว
ผมทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างนุ่มนวลแล้วส่งสัญญาณให้พี่ชายที่อยู่ข้างบน กระเป๋าใบนึงถูกโยนลงมาในอ้อมแขนอย่างพอดิบพอดี ผมจัดการซ่อนมันไว้ในพุ่งไม้ก่อนจะรับใบที่สองที่ถูกโยนตามลงมา โชคดีที่คนในบ้านเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องยิบย่อยอย่างการเปิดหน้าต่างออกมาสูดอากาศ เพราะอย่างนั้นตอนที่ตัวของแมกโนเลียห้อยต่องแต่งอยู่หน้าบานหน้าต่างจึงไม่ได้ทำให้พวกเราโดนไล่จับ
กว่าจะเอาคุณน้องสาวที่ลงผิดท่าโดนเชือกพันข้อมือลงมาได้ก็ทำเอาเหนื่อย ข้อมือของแมกกี้แดงเป็นรอย เด่นชัดจนน่ากลัว แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอื่นว่าเจ็บนอกจากการลูบข้อมือช้าๆแล้วเบ้หน้า แลบลิ้นให้คนข้างบน
คนที่ตามลงมาคือออสวอล ลงด้วยความเร็วทีเกือบจะเรียกว่า “ทิ้งดิ่ง” แทนค่ำว่า “โรยตัว” แต่เจ้าเด็กตัวแสบก็ลงพื้นอย่างปลอดภัยโดยการร่วงทับพี่ชายที่รอรับอยู่ที่พื้นอย่างผม
อาการของออสวอลเหมือนจะเริ่มดีขึ้นแล้ว เขายิ้มได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นหัวเราะ เขาดูเหนื่อยและเพลีย คงเพราะก่อนหน้านี้เขาร้องจนหลับไป
ที่ลงมาเป็นคู่สุดท้ายคือพี่ชาย เขาลงมาพร้อมดิสแคนที่เบะปากเหมือนจะร้อง แต่ก็ไม่
สองคนนี้คงคุยอะไรบางอย่างก่อนจะทิ้งตัวลงมา เพราะมันกินเวลานานกว่าคนอื่นๆไปมาก แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไร
พี่ชายคว้ากระเป๋าที่ผมซ่อนไว้ โยนใบนึงให้ผมถือ และเดินนำพวกเราไปที่เกวียนเล็กๆสำหรับขนของ มันเป็นที่นั่งธรรมดาไม่มีหลังคา มีล้อขนาดใหญ่แค่คู่เดียว ดูแล้วเหมาะสำหรับใช้ขนฟืนขนผักมากกว่าจะเอามาใช้เดินทาง แต่จะให้ทำไงได้ พวกเรามีอยู่แค่นี้เท่านั้น
พวกเราแอบขโมยม้าของใครซักคนที่มางานศพมาผูกเทียมติดกับเกวียนเล็กๆ แต่แค่ขึ้นไปน่งก็ลำบากแล้ว กว่าจะหาวิธีนั่งให้เกวียนไม่เอียงได้ก็กลิ้งกันไปมาพอดู พี่ชายเลยต้องมาลองผูกเทียมกับม้าใหม่ กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม ออสวอลกับแมกกี้เริ่มจะหัวเราะกันออกแล้ว ผมก็เหมือนกัน
มีดิสแคนที่เริ่มสัปหงกนอนอยู่กลางเกวียน ส่วนพี่ชายทำแค่กอดอกมอง เขายิ้ม
สายตานั้นอ่อนโยน..
พี่ชายเป็นคนจูงม้าออกไปจนกว่าจะพ้นเขตบ้าน แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆโดยมีผมนั่งบนตัวม้า กับน้องสามคนที่นอนเล่นกันอยู่ที่เกวียนด้านหลัง
ท้องฟ้าคืนนี้เปิดโล่ง ถึงจะไม่มีแสงจันทร์ แต่ก็มีดาวเต็มไปหมด
แต่ผมก็รู้ดีว่าคงไม่มีวันที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปชั่วนิรันดร์หรอก แต่ถ้าแค่เพื่อที่จะได้ยืดมันต่อไป ผมว่ามันก็คุ้มค่ากับการหนีออกมาในคืนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอะไร แต่ตราบใดที่มีครอบครัวอยู่ ผมก็รู้ว่าพวกเราคงเตรียมตัวรับมือแล้ว
ผมไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนสะลืมสะลือนั้นผมถูกวางให้นอนลงบนพื้นไม้เย็นเฉียบ ห่มด้วยผ้าเช็ดตัวขนาดไม่ใหญ่มาก และก่อนที่ตาจะปิดลงอีกครั้ง แผ่นหลังของพี่ชายที่ยังคงเดินอยู่เคียงข้างม้าตัวนั้นก็ยังคงมั่นคงในสายตาเสมอ
ถึงมันจะดูเงียบเหงา แต่ก็ไม่ได้หนักใจ...
ผมปิดตาลงอีกครั้งกับความง่วงที่ถ่าโถมมา ในคืนนี้ผมฝันเห็นพ่อกับแม่โบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม มันอบอุ่นเหลือเกิน..
[TBC.]
No comments:
Post a Comment