.
.
.
.
.
.
.
..ไม่เข้าใจความต้องการของตัวเอง..
..ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง....
..เรื่องราวมากมายเหล่านั้น..ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...
.
.
..ทำไมถึงได้หงุดหงิดกันนะ..?
..ทำไมถึงได้รู้สึกเสียใจกันล่ะ..?
..ทั้งๆที่เรื่องของพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ..?
....แล้วทำไม....
.
.
.
.
...เราถึงยังต้องรู้สึกเหงาทุกครั้งที่ต้องอยู่คนเดียวกันล่ะ..?
.
.
.
.
.
.
นักเดินทางได้แต่ถามตัวเองที่ก้าวขาไปตามเส้นทางแห่งความเศร้า
ทั้งๆที่เขาเลือกที่จะก้าวออกมาจากสถานที่แห่งนั้นด้วยตัวของเขาเองแท้ๆไม่ใช่เหรอ
ทั้งที่ยังคงฉีกยิ้มได้ แล้วหันหลังให้คนเหล่านั้นราวกับเรื่องไร้สาระ
แล้วทำไม...
เขาที่ก้าวขาไปตามแผ่นหินนี้ถึงได้รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่เพิ่มขึ้นกันนะ..
“เอ้า..ยิ้มสิ...อย่าร้องไห้...”
คำพูดเหล่านั้นยังคงดังก้องและตอกย้ำอยู่ในหัว
ภาพของชายหญิงมากมายที่รุมล้อมตัวเขากล่าวเช่นนั้น
แต่เขาในตอนนี้กลับไม่สามารถที่จะยิ้มออกมาได้ และรอยยิ้มเหล่านั้นก็ดูจะไม่จำเป็นเลย..
ใช่...เพราะรอยยิ้มเหล่านั้นคือรอยยิ้มที่เขาใช้แสดงให้ใครต่อใครเห็นในสิ่งที่พวกเขา “ควรจะเห็น”
หาใช่สิ่งที่พวกเขา “จำเป็นต้องเห็น” เสียหน่อย
แต่กว่าจะทันได้คำนึงถึงเรื่องใดอื่น นักเดินทางไกลได้เงยหน้าขึ้นมอง
เศษผ้าหลากสีแสนงดงามจับใจ อันถูกเย็บขึ้นใหม่กลายเป็นกระโจม
ผู้คนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างรุมล้อมเข้าไป ดั่งถูกมนตรา..
“เอ้า! เร่เข้ามา เร่เข้ามาทุกๆท่าน อย่ามัวแต่นิ่งงัน รีบขยับมาเร็วไว
วันนี้เป็นวันดีที่คณะละครแห่งใหม่ ต่างคนต่างพร้อมใจหยุดที่นี่เพื่อแสดง..
เอ้า! เร่เข้ามา...เร่เข้ามาเถิด
ทั้งบุรุษ สตรี เด็กดีๆ ก็มากัน
เราร้องเราเล่น เราแสดงให้ท่านฟัง โปรดจงระวัง เพลิดเพลินเกินพอ!”
นักเดินทางเงยหน้าขึ้นมา เจ้าของเสียงร้องร่าแสนเศร้าใจ
หน้ากาก..ละคร.. ฉีกยิ้มกว้างใหญ่
ราวกับไม่เห็นใคร โชคดี เกินกว่าตน
“เอ้า! ก้าวเข้ามา..ก้าวขามาเถิด...”
และดูเหมือนว่าเจ้าตัวตลกจะรู้สึกถึงสายตาที่มองตนอยู่ เขาหันมาดูพ่อนักเดินทาง
ดวงตาสองสีสบกันนิ่งงัน
ก่อนต่างฝ่ายนั้น จะผละจากไป…
“เดี๋ยวก่อน..รอข้าก่อน ขอเวลาให้ข้าซักหน่อย” นักเดินทางซึ่งกำลังจะเดินทางต่อไป รีบเรียกตัวตลกเอาไว้ก่อนจะคลาดจากกัน
“ท่านช่วยบอกข้าได้ไหม ว่าเหตุใดท่านจึงดูเศร้าสร้อยเกินใคร...”
เขาเอ่ยถาม..แต่ไม่ใช่เพื่อความสงสาร หากแต่เพื่อถามว่าเราเหมือนกันใช่หรือไม่
“พูดอะไรกันท่านนักเดินทาง รอยยิ้มบนหน้าข้าสิกว้างยิ่งกว่าใคร”
หากแต่ตัวตลกกลับกลั้วหัวเราะ และเอ่ยตอบด้วยวาจาเริงร่าดูอ่อนไหว
“แล้วมันจะเพราะเหตุใดที่ตัวตลกเยี่ยงข้าต้องหม่นหมองกันล่ะท่าน”
“ข้าไม่รู้”
นักเดินทางพเนจรผู้ร่อนเร่ไปบนเส้นทางสีเทาแห่งความเศร้าได้แต่ส่ายหน้า
“เพราะไม่รู้ข้าถึงเอ่ยถาม...”
ตัวตลกนิ่งงันกับคำตอบแสนบางเบา หน้ากากสีขาวแสยะยิ้มราวเล่นละคร...
“แล้วเพราะอะไรท่านถึงออกเดินทางเล่า ก็บนเส้นทางแห่งความเศร้าสีเทานั้น ไม่เคยมีผู้ใดสนใจจะเดิน”
“เพราะไม่มีใครต้องการข้า ข้าถึงได้ออกเดินทางไกล” นักเดินทางแถลงไขโดยไม่หันมอง
“เพราะตัวข้านั้นแตกต่างจึงเลือกเดินไปบนเส้นทางสีเทา เพื่อกำจัดความเศร้าที่ยิ่งทำห้ข้าทุกข์ระทม..”
ตัวตลกผู้สวมหน้ากากสีขาวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนตัดสินใจ ออกเดินทางไปกับนักพเนจร
ทำไมถึงได้ตาม...คือคำถามที่ไม่คิดจะถามออกไป
......ด้วยเพราะในใจไม่ต้องการจะเดินต่อเพียงลำพัง
แล้วเพราะอะไร..ข้าถึงต้องเดินจากมา
.....ตัวตลกหันกลับไปมองเสียงกลองที่ดังระงม
ทั้งที่ตนต้องสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ชม
กำจัดความทุกขระทมให้มลายหายไป...
แต่เพราะต้องการ..ต้องการคำตอบ
ด้วยเพราะตนไม่คิดชอบรอยยิ้มลวงหลอกที่ตนสวมใส่
ตัวตลก นักเดินทาง เริ่มพเนจรไป
บนเส้นทางไกล
อันถูกย้อมด้วยหยาดน้ำตา....
[TBC.]
อย่าลืมไปหาต้นหน กับนักดาบแล้วก็พ่อครัวด้วยนะครับ
ใกล้จะได้กลายเป็นวันพีชแล้ว (!?)
ใกล้จะได้กลายเป็นวันพีชแล้ว (!?)
ภาษาดีครับ หนูโม่ แต่งภาษาสวยเก่งแฮะเรา
เป็นบทกลอนเลย
เป็นบทกลอนเลย

ชอบ~ ตื่นเต้น ระทึกใจเหลือเกิน~
ผิดมั้ยถ้าแอบจิ้นนักเดินทางกับตัวตลก XD
เขียนอีกนะ รออยู่นะตัวเอง >_<
+10000000000000
ผิดมั้ยถ้าแอบจิ้นนักเดินทางกับตัวตลก XD
เขียนอีกนะ รออยู่นะตัวเอง >_<
+10000000000000
No comments:
Post a Comment