Monday, March 28, 2016

033. [BT] my new town 2010.06.11


[bt] my new town

posted on 11 Jun 2010 14:24 by darkodin
ได้เวลาส่งข้อสอบแล้ว..สินะ.....สินะ......สินะ.......... /เอคโค่






[BT] My New Town





   “ที่นี่เหรอบลอดเวน..”

   เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนขาดๆตามเทรนวัยรุ่นทั่วๆไปก้าวลงมาจากรถเมล์พร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่อีกสองใบ นัยน์ตาสีเลือดจากคอนแทคเลนส์ราคาแพงนั้นวาวโรจน์ดั่งปีศาจร้าย หากแต่ที่น่าแปลกใจคือผ้าคาดตาหนังสีดำซึ่งคาดปิดตาขวาเอาไว้ราวกับว่ามันไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีกนอกจากความมืดมิด

   “ว้าว..! ที่นี่กว้างจังเลยนะคะพี่ชาย” เสียงเล็กๆของเด็กหญิงตัวน้อยร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น เธอมองไปรอบๆป้ายรถเมล์ “อ๊ะ! พี่เอิร์น พี่แอร์! ตรงนั้นมีทุ่งดอกไม้ด้วย..เหมือนในหนังสือนิทานเลย!” นิ้วเล็กๆชี้ผ่านที่จอดบอลลูนไปยังทุ่งดอกไม้หลากสี นัยน์ตาสีท้องฟ้าสดใสเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

   “อย่าเผลอเดินหายไปนะเอลลี่ ไม่งั้นพวกเราได้หลงกันแน่ๆ” คราวนี้เสียงมาจากเด็กชายวัยสิบสามที่ถอนใจยาวด้วยรอยยิ้มเนือยๆ เขายกกระเป๋าลงจากรถแล้วดึงที่ลากขึ้นมาก่อนนั่งทับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ “แต่แหม... ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือเลยซักขีด.. แบบนี้ผมก็เข้าเน็ตไม่ได้น่ะสิ” แอโรว์มองโทรศัพท์มือถือในมือแล้วถอนใจ ก่อนกดปิดเครื่องแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความเสียดาย

   เออร์เนสทำเพียงแค่เหลือบตามองน้องทั้งสองซึ่งเริ่มชวนกันชี้นู่นดูนี่ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับแผนที่ในมือ

   “แอโรว์ เอลลี่.. หอเกลอยู่ข้างหน้านี่เอง” เขาเรียกน้องทั้งสองที่กำลังจะเดินไปทางทุ่งดอกไม้ “รีบเอาของไปเก็บก่อนออกสำรวจเมืองกันดีไหม”

   “ไปๆ! เอลลี่จะรีบเก็บของแล้วจะไปสำรวจรอบๆ” เอลลี่ หรือ เอมิเลีย กระโดดไปมาจนเรือนผมสีรวงข้าวสะบัดไหว รอยยิ้มสดใสจากเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบดูไม่ต่างอะไรกับนางฟ้าตัวน้อยๆเลยซักนิดเดียว

   เออร์เนสส่ายหัวไปมา เขายิ้ม “งั้นก็รีบเอาของไปเก็บกันดีกว่านะ”



   สามพี่น้องเดินเคียงกันไปโดยมีแอโรว์กับเอลลี่เดินจูงมือตามมา เขาได้ยินเสียงน้องตัวน้อยร้องเพลงอยู่ข้างหลัง และคาดว่าน้องสาวคงได้จับมือของแอโรว์แกว่งไปมาด้วยแน่ๆ แผนที่ในมือถูกขยำจนยับยู่เมื่อต้องจับสายสะภายไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดลงจากบ่า.. เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆ อย่างน้อยก็ไม่คิดว่าตนจะย้ายมาเร็วขนาดนี้ หลังจากที่เรื่องนั้นยังผ่านไปไม่ถึงปีด้วยซ้ำ


   .. แต่ถ้าเขาไม่ย้ายมา..

   ภาพของเธอคนนั้นก็คงจะยังตามหลอกหลอน โดยเฉพาะภาพของรถสปอร์ตคันงามสีแดงสดที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเกินพิกัติ และกระแทกร่างบางนั้นกระเด็นกลิ้งไปไกล..


   ..เธอที่เป็นเหมือนพี่สาวคนสำคัญนอนนิ่งไม่ไหวติง..


   เธอตายตั้งแต่ครั้งที่โดนชนจนตัวปลิว...

   และเขาที่ยืนมองเธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกเหมือนร่างที่นอนลืมตานั้นจะยังคงจับจ้องมาที่เขาราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง... อะไรบางอย่างที่เธอมักบอกกับเขาเสมอ...ถึงสัญญาที่จะอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา....




   “พี่คะ.. พี่เดินเลยแล้วนะคะ” เอลลี่กอดขาพี่ชายที่กำลังจะก้าวผ่านหน้าหอพัก ใบหน้าของเด็กน้อยฉายแววกังวลเช่นเดียวกับน้องชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก “พี่ยังคิดถึงเรื่องของซิสเตอร์อยู่เหรอคะ..พี่...”

   “ไม่.. ไม่เป็นไรหรอก” เออร์เนสลูบหัวเอมิเลียเบาๆ

   ..น้องสาวของเขาได้ส่วนนี้มาจากพ่อของเธอ..

   เป็นความสามารถพิเศษที่รับรู้ได้ว่าคนๆนั้นคงมีเรื่องอะไรเก็บไว้ในใจ แต่สำหรับเขาแล้ว..เขาคิดว่าเขาคงแสดงท่าทีออกมากเกินไปมากกว่า ทั้งๆที่ตอนอยู่อเมริกา..สภาพศพที่แย่กว่านั้นเขาก็ยังเคยเห็นมาแล้ว และก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจอะไรด้วยซ้ำ

   แต่ภาพของแม่ที่แขวนคอตายอยู่กลางร้าน กับภาพของซิสเตอร์ที่ถูกรถชนกระเด็นกลับเด่นชัดและตราตรึงอยู่ในใจ มันเป็นปมเล็กๆที่มัดแน่นจนแกะไม่ออก แล้วเขาก็ไม่ได้ปรารถนามันเลยซักนิด...

   เขาเกลียดการที่ตัวเองเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะการแสดงออกต่อหน้าของพวกน้องๆ ทั้งที่เขาเป็นพี่ สมควรจะเข้มแข็งให้สมกับเป็นหัวหน้าครอบครัวมากกว่านี้แท้ๆ..


   เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆจนเรือนผมสีม่วงแดงสะบัดไปมา เขาเดาะลิ้นเล็กน้อย ในใจนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมากะทันหัน แต่ดันติดที่พวกน้องๆยังยืนกระพริบตาปริบๆอยู่ตรงนี้ มันทำให้เขาทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ





   “’โทษที ที่นี่ใช่หอเกลรึเปล่า”

   ผมถามชายหนุ่มที่น่าจะอายุยี่สิบกว่าๆ..หรืออาจจะใกล้ถึงเลขสาม ผมสีบรอนซ์ทองจางๆแซมกระจุกสีดำเล็กน้อยใต้เรือนผมนั่นทำให้ผมเผลอขมวดคิ้ว..นั่นเขาย้อมเอาเหรอ แต่ถ้าย้อมจริงจะเอาปิดๆไว้ทำไมกันน่ะ แต่ก็ช่างเถอะ โลกเรามันมีอะไรประหลาดๆเยอะอยู่แล้ว โดยเฉพาะในอเมริกา..ยิ่งในแถบวัยรุ่นหัวรุนแรงข้างเขตสลัมแถวบ้านเก่ายังมีพวกพิลึกพิลั่นอยู่เยอะไป ไหนจะพวกที่ทำงานพิเศษด้วยกันอีก..

   ผมยอมรับว่าอเมริกาน่ะแหล่งรวมตัวคนหลากหลายประเภทเลย..โอเค รวมตัวเองเข้าไปอีกคนก็ได้

   ผู้ชายคนนั้นหันกลับมามองผม เขาพยักหน้าน้อยๆ “ครับ.. คุณใช่คนที่...”

   “อ่าฮะ โทรเข้ามาเมื่อสามวันก่อน” ผมทิ้งกระเป๋าลงพื้นแล้วบีบไหล่ตัวเองแรงๆเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมควรทำตัวให้ดีกว่านี้.. อย่างน้อยผมก็ยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน.. หรืออาจจะตลอดชีวิต... แต่จะยังไงก็ตาม ผมสัญญากับน้องๆแล้วว่าห้ามเอานิสัยเดิมๆตอนอยู่ที่อเมริกามาใช้ ไม่อย่างนั้นผมคงโดนเฉดหัวออกจากเมืองนี้เข้าซักวันเพราะเผลอชูนิ้วกลางด่าใครซักคนจนเกิดเรื่องแน่ๆ

   “ครับ ชื่อ...”

   “เออร์เนส อี อิลทุมม์....บ้าชิบ!” ผมขยี้ผมตัวเองแรงๆ ไอ้นิสัยพูดแทรกชาวบ้านนี่แก้ไม่หายเลยรึไงนะ ให้ตาย! ผมได้แต่ขบเขี้ยวกร่นตัวเองในใจ...ไหนว่าจะทำตัวดีขึ้นไง แล้วนี่มันอะไรกัน!!

   ผมเหลือบมองพวกน้องๆ..แอโรว์มองผมตาละห้อย...เอลลี่ก็มองด้วยแววตาที่เหมือนจะบอกให้ผมพยายามต่อไป...การเป็นคนดี พูดดีๆ ทำตัวดีๆ ตามที่ยัยซิสเตอร์นกเพนกวินนั่นกรอกหูอยู่ทุกวันนี่มันยากกว่าการชกต่อยให้คนเข้าโรงพยาบาลเยอะเลย.. Shit!

   “เอ่อ....โทษที…” ผมงึมงำ..การขอโทษใครซักคนผมก็ไม่ชินเหมือนกัน ทำไมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันดูน่าอดสูพิกลวะ “พอดีว่าฉันไม่ค่อยชินน่ะ แต่จะพยายามพูดสุภาพด้วยก็แล้วกันนะ” ผมพูดพร้อมตบบ่าเขา

   ..คนยุโรปไม่ถือเรื่องอายุเท่าไหร่ ก็นะ..อย่างน้อยที่อเมริกาเขาก็ไม่ถือนี่ ขอเหมารวมว่าคนตรงหน้าไม่ถือเรื่องอายุไปด้วยก็แล้วกัน อย่างมากอายุคงห่างซักสิบกว่าปี แต่ถ้าโดนว่ากลับมาเมื่อไหร่ก็อีกเรื่อง...

   “พี่ครับ...เรื่องหอพักล่ะ” แอโรว์แทรกขึ้นมาทำให้ผมกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง

   “อ๋อ..ใช่ คือว่าเรื่องห้องที่จองไว้น่ะ”

   “ครับ ผมขอหยิบกุญแจซักครู่...” บอกผมทีว่าคนๆนี้เป็นเจ้าของหอจริงๆ....

   ไอ้ขอบตาหมีแพนด้านั่นมันอะไรน่ะ คงไม่ใช่ว่าไม่มีเวลานอนหรอกใช่ไหม

   ถึงในสายตาผมเขาจะไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ในสายตาของน้องๆผมที่แทบไม่เงยหน้ามองนั่นคงบอกได้เป็นอย่างดีกว่ากลัวผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน

   “ขอบใจ!” พอเขาหยิบมันออกมาผมก็คว้าไปทันที ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วหันไปพูดขอโทษเขาอีกครั้ง..

   ผมไม่รู้หรอกนะว่าในสายตาเขา เขาจะมองผมแบบไหน.. จะรวมผมว่าเป็นไอ้เด็กไร้มารยาทหรือเปล่า หรือจะกำลังคิดอยู่ว่าคนอย่างผมเป็นพวกเด็กนิสัยเสีย... แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาเอาผมไปรวมแบบนั้นเลยจริงๆ ถึงสมัยก่อนผมจะเป็นเด็กที่ควรจับโยนเข้าสถานพินิจพอๆกับเด็กแถวนั้น แต่ผมกำลังปรับปรุงตัวอยู่...กำลังพยายามปรับปรุงตัวดีขึ้นกว่านี้


   ...เพราะผม...สัญญาเอาไว้แล้ว....







  
   ....บัดซบ!!!

.

.

.

.

.



   “ผมว่าพี่น่าจะปฏิบัติตัวให้ดีกว่านี้” แอโรว์บ่นขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้อง เด็กชายทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างพี่ชาย “พี่ยังไม่เลิกนิสัยเก่าๆเลยรู้รึเปล่า พี่หลุดออกมาบ่อยมาก”

   “ฉันรู้...” เออร์เนสกลอกตาขณะฟังคำบ่นของน้องชาย เขานอนแผ่อยู่บนเตียงขนาดกลางและอยากจะหลับไปซักตื่นจริงๆ อยากย้อนเวลาทุกอย่างกลับไปและสาบานว่าจะทำตัวให้ดีขึ้นตั้งแต่เด็ก เพื่อที่โตมาแล้วจะได้ไม่ต้องทนฟังอะไรแบบนี้

   “พี่เอิร์นคิดแต่เรื่องของซิสเตอร์อยู่แน่ๆเลย!” จู่ๆเอมิเลียก็โผลงคำพูดนี้ออกมา และมันก็ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มหมองลง เธอรีบขอโทษ

   นี่ถ้าเป็นคนอื่นผมคงตวาดใส่หน้าไปแล้วว่า แค่ขอโทษแล้วมันจะหายเหรอ.. แต่ก็พยายามท่องไว้ในใจว่าคนๆนี้คือน้อง.. น้องสาวของตัวเองไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย อีกอย่างเอลลี่ก็ยังเด็ก..เด็กมาก..แค่เจ็ดขวบ...

   แต่พอนึกถึงเด็กอเมริกาอายุเจ็ดขวบแล้ว..นี่ดูจะไม่ช่วยอะไรขึ้นมาเลย...

   เพราะเด็กชาวยุโรปนั้นมักจะโตกว่าเด็กทางฝั่งเอเชีย ตั้งแต่รูปร่างจนถึงนิสัย

   ..แค่หกขวบก็ถือพลั่วถือจอบไปเคาะประตูบ้านรับจ้างขุดหิมะให้เขาได้แล้ว... และพ่อแม่ก็แทบไม่ให้เงินเลยซักแดง เพื่อเป็นการฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้เด็กแต่ละคนนั้นเป็นผู้ใหญ่ก่อนตัว ไม่เว้นแม้แต่พวกเขาทั้งสาม


   แต่น้องของเขามันไม่ใช่..ไม่ซะทีเดียว

   มีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หากต้องลงมือทำเองจริงๆ


   ...อย่างน้อยเด็กพวกนี้ก็ยังมีคนดูแลเอาใจใส่มากกว่าเขา..



   แอโรว์กับเอลลี่เป็นลูกของแม่ที่เกิดกับผู้ชายคนอื่น.. เกิดกับพ่อคนใหม่...ที่นิสัยดีกว่าพ่อจริงๆของเขาจนอดอิจฉาไม่ได้.. และเด็กสองคนนี้ก็อายุห่างกับเขามาก เพราะอย่างนั้นเขาเลยต้องคอยดูแลเด็กสองคนนี้ในแทบจะทุกๆด้าน

   ....จนมันทำให้เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย....

   ครั้งสุดท้ายที่ผมตามใจตัวเองคือซื้อคอนแทคเลนส์คู่นี้.. ปิดดวงตาสีน้ำข้าวของตัวเองที่ถอดแบบมาจากพ่อแท้ๆทุกประการ ทั้งแววตา สี รูปร่าง กระทั่งความรู้สึก..

   แต่ตาคู่นั้นเขาไม่ชอบเอาซะเลย.....



   “พี่คะ..เอลลี่ขอโทษ..”

  น้องสาวตัวน้อยยังไม่หยุดเอ่ยคำขอโทษเมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่ดูจะไม่สนใจนัก เออร์เนสถอนใจยาว เขาลูบหัวน้องสาวเบาๆ

   “ไม่ได้โกรธ.. แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” เขาพูดพลางลุกขึ้นส่งกระจก ถอดผ้าตาดตาออก..เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำข้าวที่หาได้มีคอนแทคเลนส์แทนอยู่เหมือนตาอีกข้างไม่ แล้วเขาก็ถอดเอาคอนแทคเลนส์อีกข้างออกจากตาตัวเองเช่นกัน

   ที่เขาคาดตาไว้ไม่ใช่เพราะตาของเขาบอดหรือแพ้แสงอะไร แต่เป็นเพราะคอนแทคเลนส์มันหายต่างหาก และเขาก็ไม่ชอบตาสีนี้เลยด้วย...ทั้งที่มีแค่คนชมว่าสวย...แต่เขากลับยิ่งเกลียดมันหนักขึ้นทุกที

   “พี่ยังไม่ได้ซื้อคอนแทคเลนส์อีกเหรอ..” แอโรว์ถามเสียงเบา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังไม่ได้ออกเงินซื้อใหม่ให้ตัวเองซักที ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขามักจะขอนู่นขอนี่ หรือเอาไปจ่ายค่าต่างๆจนคนเป็นพี่ไม่อยากเจียดเงินไปมากกว่านี้

   “อืม...” เออร์เนสครางรับในลำคอ เขาไม่ถนัดการเรียกตัวเองว่าพี่เท่าไหร่ และพวกน้องๆต่างก็รู้ดี.. เอาตามความเป็นจริงแล้วพวกเขาแทบจะไม่มีอะไรที่ชอบหรือเกลียดตรงกับพี่ชายเลยซักอย่าง

   “เดี๋ยวฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกซักหน่อย..ไปไหม” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาพยายามไม่ทำให้น้องๆต้องคิดมากจนเกินไป

   แต่คำตอบที่ได้มาคือคำปฏิเสธ...ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่แล้วยังร้องเร่าๆว่าอยากไปใจจะขาด

   “ผมซื้อหนังมาดูแล้ว..” แอโรว์หยิบโน๊ตบุ๊คออกจากกระเป๋า..นี่ก็เป็นของอีกชิ้นที่ผลาญเงินของเขาไม่น้อย..ถึงจะเป็นแค่ของมือสอง แต่มันก็จำเป็นต้องใช้ ไม่งั้นเขาคงไม่ซื้อมาแน่ๆ

   “หนูง่วงแล้วค่ะ..” เอลลี่พูดบ้าง เธอปีนขึ้นเตียง “แล้วเดี๋ยวหนูจะไปวันหลังนะคะ....พี่เอิร์น...” พูดจบก็ผลอยหลับไปเลย สงสัยว่าการเดินทางนานๆแบบนี้คงไม่เหมาะกับพวกเด็กๆซักเท่าไหร่

   เออร์เนสระบายลมหายใจ เขาเดินไปล้างหน้าล้างตา แล้วค่อยใส่คอนแทคเลนส์กับผ้าคาดตานั้นใหม่อีกครั้ง ดวงตาของเขายังคงวาวโรจน์..

   ตาสีแดงคู่นี้แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่แม้แต่คนเป็นเจ้าของยังไม่ต้องการจะยอมรับมัน...


   ..ตาที่ยังคงฉาย..ถึงความกร้าวร้าวไม่ต่างจากเดิม....

   เขายังคงเป็นเด็กหัวรุนแรงคนหนึ่งที่ชอบการทะเลาะต่อยตี มันห้ามกันไม่ได้หรอกถ้าจะทำให้สัตว์ป่ากระหายเลือดหยุดคลั่งได้ตลอดไป..อย่างมากก็แค่ควบคุมไว้เท่านั้น... และสิ่งที่ใช้แทนการควบคุมก็คือ ‘คำสัญญา’

   ตั้งแต่เกิดเขารักษาสัญญามาตลอด..จะมีก็แค่สองครั้งเท่านั้นที่เขาผิดคำสัญญา และเขาจะไม่มีวันผิดสัญญาอีก... นั่นเป็นสิ่งที่เขาหวังเอาไว้ว่าเขาจะทำมันได้...เขาสาบาน

.

.

.

.

.



   หลังจากที่ลองเดินดูรอบๆเมืองแบบลวกๆแล้ว เขาก็มาหยุดอยู่หน้าทุ่งดอกไม้ประจำเมือง...ดอกเชอริล..ดอกไม้ที่มีชื่อเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เอ่ยปากชวนให้เขามาอยู่ที่นี่..และเป็นผู้หญิงที่ทิ้งเขาไว้อย่างง่ายดาย

   เออร์เนสถอนใจยาว เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบ มันให้ความรู้สึกแปลกๆหลังจากกลับมาสูบใหม่อีกครั้ง และเขาก้เลิกที่จะใส่ใจ ปล่อยตัวตามสบายขณะมองทุ่งดอกไม้สีขาวฟ้าเบื้องหน้า.. เขายังไม่อยากกลับไปหาพวกน้องๆตอนนี้.. อย่างน้อยก็อยากกลับไปในสภาพที่ทำให้ตัวเองดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่านี้อีกซักหน่อย...




   บลอดเวนเป็นเมืองที่ใหญ่... แต่ถ้าเทียบกับอเมริกาแล้วมันช่างเล็กกระจิ๊ดริ๊ด.. เหมือนวางจานไว้บนโต๊ะตัวยาว..และความแตกต่างนั้นแหละ คือความแตกต่างของสถานที่ทั้งสอง

   ยิ่งถ้ากล่าวถึงเทคโนโลยี ความทันสมัยก็ยิ่งแตกต่าง แทบจะเรียกได้ว่าอเมริกานั้นเหนือกว่าแทบทุกด้าน.. ประเทศแห่งเสรีที่มีสัญลักษณ์ของนกอินทรีผู้กางปีกโผบินอย่างสง่างามและองอาจ...นั่นแหละ..อเมริกา.. แตกต่างจากบลอดเวนที่มีกระต่ายขาวหูฟ้าแสนน่ารักน่าชัง หญิงสาวแสนงามในร่างกระต่างผู้ปราดเปรียวนั้นมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความลี้ลับอันน่าค้นหา

   ..สิ่งที่เหนือกว่าของบลอดเวน...เหนือกว่าอเมริกาอยู่หลายร้อยขุม...


   สำหรับเออร์เนสแล้ว เขาขอตอบว่าสิ่งนั้นคือ ‘หัวใจ’

   ไม่ได้เจาะจงว่าหัวใจดวงนั้นจะเป็นหัวใจที่อยู่ในร่างของคนเราหรือไม่ ไม่ได้เจาะจงความหมายแคบขนาดนั้น.. แต่หัวใจที่เขาพูดถึงนี้หมายถึงความอบอุ่น อ่อนโยน และเงียบสงบ


   เขายอมรับว่าเขาชอบที่นี่...ชอบมาก..ชอบจากก้นบึ้งของหัวใจ มันเป็นความอบอุ่นที่เหมือนกับของซิสเตอร์คนนั้น...

    ‘เชอริล’


   เธอเกิดที่นี่..เป็นคนบลอดเวนโดยกำเนิด เป็นหญิงสาวสวยใสที่แก่กว่าเขาซัก 5 – 6 ปี..

   เธอสอนหนังสือให้เขา ยอมทนกับเด็กหัวรุนแรงและสั่งสอนเขาเสมอ..จนเป็นเหมือนกับแม่คนที่สอง..

   เธอเป็นผู้หญิงน่ารักที่แสนอ่อนโยน..แม้แต่ในยามที่ทำแผลด้วยมือที่สั่นเทา...เธอก็ยังคงงดงามไม่ต่างอะไรไปจากนางฟ้าในเทพนิยาย..

   เธอบอกว่าชื่อของเธอนั้น คนเป็นย่าตั้งให้จากชื่อของดอกไม้ประจำเมือง..เป็นดอกสีขาวที่มีเกสรสีฟ้า และมันจะเรืองแสงตอนกลางคืน เธอเคยสัญญาว่าจะพาเขาไปดู...


   เออร์เนสยอมรับว่าเขาไม่ได้คิดกับเชอริลแค่พี่สาว.. เขารักเธอจนยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง.. และหวังว่าซักวัน....ซักวันหากเขาสามารถเป็นผู้ชายที่ดีพอจะไม่ทำให้เธอต้องเป็นห่วงหรือเสียใจ....เขาจะบอกรักเธอ..


   แต่มันไม่มีวันนั้น...

   และไม่มีวันที่ฝันของเขาจะเป็นจริง...


   เชอริลเป็นนางฟ้าที่ซักวันต้องกลับสู่สรวงสวรรค์ และเขาก็เป็นได้เพียงปีศาจร้ายที่ไม่มีวันสมหวังในรัก..

   เขาไม่มีทางทำให้เธอมีความสุขได้เพราะเขาจะไม่มีทางเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างที่เธอหวัง และเธอก็ไม่คิดที่จะรอเขา..เธอจากไป...ไปหาพระผู้เป็นเจ้าที่เธอเฝ้าสวดอ้อนวอนอยู่ทุกวัน...


   เธอทิ้งเขาให้จมอยู่ระหว่างความมืดและแสงสว่าง ก่อนจะหายเข้าไปในลำแสงสีแดงและขาว และทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณบนพื้นถนนอันเย็นเฉียบ...

   เธอตายในทันที...และจะไม่มีวันกลับมาอีกเลย...




   เออร์เนสกัดปลายบุหรี่อย่างเคยชิน เขาชอบที่จะขบกัดอะไรซักอย่างยามที่ในใจเริ่มหมองหม่น และเพราะเขามักจะสูบบุหรี่...สิ่งที่เขาเลือกจะกัดบ่อยก็คงไม่พ้นก้นบุหรี่แน่นอน

   แต่เชอริลไม่ชอบกลิ่นบุหรี่.. มันจะเป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่เธอจะกล้าพอจะดึงมันออกจากปากของเขาแล้วดับมันซะ.. เธอกล้าพอจะต่อว่าเขา และกลับกลายเป็นฝ่ายงอนเสียเอง แต่เขาไม่ได้ง้อ...ไม่เคยง้อ และไม่คิดจะง้อใคร เพราะเขาไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ผิด – เขา – หรือเธอ.... แต่ในสุดท้ายคนที่กลับมาขอคืนดีก็คือเธอ..

   เชอริลคิดว่าเขาจะโกรธ ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น.. เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าจะต้องเป็นฝ่ายไปง้อหรือถูกง้อ ..และในความคิดของเขา การง้อใครซักคนมันเป็นสิ่งที่งี่เง่าเกินไป..


   และคงเพราะเขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อน..ไม่พอจะรู้ว่าความต้องการของผู้หญิงในตอนนั้นคืออะไร แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ว่า “สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจากผู้ชายมากที่สุด” ที่เชอริลบอกคืออะไร...

   เขาไม่เข้าใจผู้หญิง..ไม่คิดที่จะเข้าใจ...มันยุ่งยาก และน่ารำคาญ.. แต่กลับน่าสนใจ...

   บ้าจริง...นี่เขาคิดอะไรอยู่วะเนี่ย.....

   กับอีแค่คนที่ตายไปแล้ว... เขาพยายามตอกย้ำ ...ตายไปแล้วจะไปคิดมากทำไม....

   แต่ถึงจะตอกย้ำยังไง...ก็ไม่สามารถลืมได้อยู่ดี.....



   “เอ่อ...อย่าสูบบุหรี่ข้างแปลงดอกเชอริลสิคะ...”

   นัยน์ตาสีเลือดตวัดมองต้นเสียง ร่างบางของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบไปหางม้าทรงสูง ดวงตาสีเทาเข้มเหลื่อมฟ้าเล็กน้อยดูราวกับมูนสโตนราคาแพง ใบหน้านั้นยังคงประดับรอยยิ้มกว้างแสนมีชีวิตชีวา เหมือนกับว่าโลกทั้งใบนั้นเต็มไปด้วยความสุข... เป็นรอยยิ้มเดียวกับคนที่เคยยิ้มให้เขามาก่อน....รอยยิ้มที่พลอยทำให้คนรอบข้างยิ้มตามได้เสมอ...

   แต่ไม่ใช่กับเขา.....


   “เธอเป็นใคร” เออร์เนสโยนบุหรี่ลงพื้นก่อนขยี้ด้วยส้นรองเท้า หากแต่หญิงแปลกหน้าก็ส่งสายตาตำหนิเล็กน้อยมาให้ ทำให้เขาต้องกลอกตา.. แต่ก็ยอมเก็บขึ้นมาแต่โดยดี

   “นี่หล่อน......” เขาอ้าปากพูด ก่อนเงียบลงแล้วพูดใหม่ “นี่เธอ.. ฉันถามเธออยู่นะ”

   “เอ่อ..อาร์มค่ะ.. อามิน่า เออร์เว่น.. เรียกสั้นๆว่าอาร์มค่ะ” อาร์มแนะนำตัว “แล้วคุณล่ะค่ะ” ก่อนถามกลับด้วยรอยยิ้มสดใส

   “เออร์เนส อี อิลทุมม์.. เพิ่งมาที่เมืองนี้เป็นวันแรก” เขาแนะนำตัวแบบขอไปที ในใจก้อยากให้เธอคนนี้รีบๆเดินไปซะ เพราะตนไม่ค่อยชอบนักที่จะต้องยืนก้มมองผู้หญิงที่เตี้ยกว่าเกือบยี่สิบเซ็นยืนส่งยิ้มให้แบบนี้.. แถม.. คนที่ชื่ออามิน่าเองก็แต่งตัวค่อนข้างไปทางเรียบร้อย ไม่ใช่จัดจ้าน หรือเปิดเผยอย่างที่บรรดาสาวๆในประเทศเสรีเขาแต่งกัน.. มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ..

   ก่อนที่สายต่จะสะดุดกับเสื้อผ้า.. มองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยลืมคำนึงถึงมารยาท แล้วจึงเอ่ยปาก


   “เธอเนี่ย.....”



   ไม่มีทั้ง..ส้นสูง ทาปาก แต่งหน้า เอวต่ำ..


   ไม่แต่งแบบ..เปิดอก เว้าหลัง โชว์สะดือ...


   ไม่แม้กระทั่ง...ย้อมผม ไฮไลท์ เจาะ สัก เพ้นท์....



   คนตรงหน้าเขาไม่มีสิ่งที่ว่าเลยแม้แต่น้อย...


   ไม่แต่งเติม ไม่เสริมแต่ง... เหมือนกับหลายๆคนในเมืองนี้ที่เขาได้พบเจอระหว่างทางเดินมาที่นี่



   “..แต่งตัวได้จืดสนิทไปเลยนะ” ปากขยับไปตามที่ใจคิด แล้วกล่าวต่อไปโดยไม่หยุดหายใจ “แต่ก็ดูน่ารักดี... ดูเหมือนเด็กประถม”

   ไม่ได้ตั้งใจจะว่า.. แค่พูดไปตามที่ใจคิด..

   แต่ถ้าเทียบกับในอเมริกาแล้วคนที่นี่ส่วนมากค่อนไปทางฝั่งเอเชียกับซะมากกว่า จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่หน้าจะเด็ก ตัวจะเล็กกว่าบรรดาผู้คนทางฝั่งตะวันตก และสำหรับทีนั่น..ความจริง....ต่อให้เป้นเด็กประถม บางคนยังเริ่มแต่งตัวตามเทรน ที่เขาบอกอีกฝ่ายว่าเหมือนเด็กประถม จึงถือว่าเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา...ธรรมดาจนไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าน่ะ..ความจริงอายุมากกว่าเขาอยู่หลายปี...


   “พวกนี้เป็นดอกไม้ของเธอเหรอ”


   เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัยในดอกไม้สีขาวสะอาดตาอันมีเกษรสีฟ้าดูงดงามจับใจ..



   “คะ... เป็นดอกไม้ประจำเมืองน่ะคะ” อาร์มยังคงยิ้ม แม้จะแห้งไปเล็กน้อยกับคำพูดของคนที่เพิ่งได้เจอหน้ากันครั้งแรก “คุณพักอยู่ที่หอคุณเกลเหรอคะ..”

   “อืม ก็มันถูกนี่.. ขืนอยู่ที่แพงๆแล้วจะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงน้องล่ะ” ตรง...ตรงจนบางครั้งเจ้าตัวก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองน่ะเคยถนอมน้ำใจใครบ้างไหม.. แต่เพราะเขาชอบยึดเอาประเทศตัวเองเป็นหลัก การพูดจาตรงไปตรงมา และแสดงอารมณ์ออกมาอย่างไม่คิดปิดบังก็คือเรื่องปกติของชนชาวยุโรปโดยทั่วไป

   ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายเล็กๆเมื่ออีกฝ่ายกล่าวถึงน้องที่ตนไม่คิดว่าจะมี “คุณมีน้องด้วยเหรอคะ”

   “ลูกใหม่ของแม่น่ะ” เขาทำท่าจะจุดบุหรี่สูบอีกครั้ง แต่พอเห็นนัยน์ตากลมโตที่มองจ้องมา เจ้าตัวก็ยัดซองบุหรี่ลงไปในกระเป๋ากางเกง

   “เอ่อ...ขอโทษนะคะ..”

   “ขอโทษทำไม เรื่องแค่นี้” เออร์เนสบิดขี้เกียจ “เออ นี่เธอว่างไหม...”

   “ชื่ออาร์มค่ะ..”

   “จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ.. ไหนๆเธอก็อยู่มานาน ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าที่นี่มีที่ไหนที่เปิดรับคนทำงานพิเศษบ้าง..”





   อามิน่า เออร์เว่น กระพริบตาปริบๆกับคนที่ออกปากบอก(?)ให้เธอพาเดินรอบเมืองอีกรอบทั้งที่เธอเห็นเขาเดินวนมาแล้วซักสองรอบกว่าๆ.. หญิงสาวเหลือบมองคนข้างตัวเป็นระยะ เขาค่อนข้างเธอสูง..แทบจะพอๆกับคุณเกลด้วยซ้ำ และอาจมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะสามารถสูงเท่า หรือสูงกว่า...ถ้าหากว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีอายุยังไม่มากนัก และมันก็มีแววเป็นไปได้กว่าครึ่งเช่นกัน


   เออร์เนสมองสิ่งรอบตัวอย่างสนใจแม้ใบหน้าจะยังเรียบเฉย บางครั้งเขาก็ชอบเผลอเอาสถานที่น่าอยู่แบบนี้ไปเปรียบเทียบกับย่านเสื่อมโทรมของอเมริกาที่เขาอยู่มาแทบทั้งชีวิต..

   ข้างทางจะไม่มีสีที่ทาแล้วดูสดใส..เพราะมันจะเป็นเพียงผนังสีเทาเจือดำที่เต็มไปด้วยการพ่นด้วยสีแสบสัน....

   จะไม่มีผู้คนที่มองตนด้วยสายตาแปลกประหลาด หรือพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มจริงใจ...เพราะแต่ละคนต่างก็มีกลุ่มเป็นของตัวเอง พวกเขาจะใช้เวลาที่มีอยู่ที่การนั่งลงข้างทาง หรือบนอะไรซักอย่าง แล้วจุดบุหรี่ เสพยากันไป...


   เขาไม่ได้จะพูดว่าที่อเมริกานั้นเลวร้าย...

   แต่สถานที่ของเขาต่างหากที่มันเลวร้ายและเสื่อมโทรม.. และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาตัดสินใจพาน้องทั้งสองย้ายมาอยู่ที่นี่..

   ....บลอดเวน.....


   เมืองที่เดินได้โดยไม่ต้องคอยระวังตัวว่าจะโดนแทงจากข้างหลังเพื่อแย่งกระเป๋าสตางค์หรือของมีค่าไปเมื่อไหร่..


   เมืองที่สามารถสูดอากาสเข้าไปเต็มปอดได้โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีควันพิษหรือไม่...




   เมืองที่ทุกคนจะยิ้มกว้างจากก้นบึ้งของหัวใจ..





   เมืองอันแสนอบอุ่น..



   ....อุ่นยิ่งกว่าอ้อมกอดของผู้เป็นมารดาที่ทิ้งร่างเย็นเฉียบให้ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง โดยมีเพียงเชือกเส้นหนาคอยรั้งลำคอของเธอให้เชิดขึ้นเล็กน้อย...

   เด็กหนุ่มเผลอชะงักและยืนนิ่ง มองลึกเข้าไปในภาพของอดีตเมื่อหกปีก่อน... ทิ้งให้โลกทั้งหมดนั้นหยุดนิ่งไปพร้อมกับตัวของเขาเอง....



   “นี่แม่ วันนี้เงินค่าทำงานพิเศษออกแล้วนะ....!!”

   เด็กชายวัยสิบสองเปิดประตูพรวดเข้ามาในบาร์เหล้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง และเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตซึ่งฉายชัดอยู่บนใบหน้าคม.. นัยน์ตาที่ยามนั้นยังไม่ใสคอนแทคเลนส์ยังคงเป็นสีน้ำข้าวที่ดูกระจ่างใส สีฟ้าจางนั้นเปลี่ยนโทนเข้มอ่อนไปตามแสงที่ส่องผ่านลงมา มันเป็นดวงตาที่ดูไม่ต่างอะไรกับอัญมณีแห่งสายน้ำที่ผู้เป็นแม่ชอบนักหนา....ดวงตาของพ่อ........

   “แม่...” เขาร้องเรียกอีกครั้ง “แม่ฮะ..” แต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ..

   “แม่..... ออกไปรับน้องเหรอ....” เออร์เนสพึมพำ เขาโยนเป้ไปหลังเคาท์เตอร์ แล้วเริ่มกวาดตามองหาเครื่องดื่มดับกระหาย.. ก่อนคิ้วเรียวจะเลิกสูงเมื่อเห็นกองกระดาษมากมายที่กระจัดกระจายไปทั่ว เขาเก็บมันขึ้นมาดู

   “...ใบแจ้งหนี้....” เขาเองก็รู้ว่าบาร์เหล้าแห่งนี้มีหนี้สินสูงท่วมหัว เพราะผู้ชายคนใหม่ที่แม่แต่งงานด้วยไม่เคยปริปากบอกอะไรจนกระทั่งตายจากไป พวกเขาได้ร้เรื่องทั้งหมดหลังจากนั้น แต่เขาไม่นึกว่ามันจะเยอะขนาดนี้ต่างหาก..

   “แม่.. แม่ฮะ!” เออร์เนสตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่เขาจะมี.. บางทีแม่อาจจะเครียดจนดื่มเหล้าแล้วฟุบหลับอยู่ที่ไหนซักแห่ง...บางทีเธอคงจะออกไปรับน้องๆ.....บางที..

   แต่แล้วความหวังของเขาก็พังทลาย..เมื่อจู่รองเท้าส้นสูงสีมะฮอคกานีอันไร้ที่มาร่วงลงกระแทคโต๊ะไม้ เรียกสายตาของเขาให้เหลือบขึ้นไปมองตามด้วยดวงใจที่หล่นวุบ....เมื่อนั้นคำพูดทุกคำดูเหมือนจะจุกอยู่ในลำคอ..เมื่อเขาพบกับสิ่งที่เห็น.....สิ่งที่พลิกทั้งชีวิตของเขาให้จำต้องเปลี่ยนแปลง....




   “....เนส.... คุณเออร์เนส!” อาร์มที่เรียกอีกฝ่ายอยู่นานตีคนข้างกายเธอแรงๆ และมันก็ช่วยให้เขาหันกลับมามองเธออีกครั้งด้วยดวงหน้าซีดเซียว...

   “โทษที พอดีนึกถึงอะไรนิดหน่อย...” เออร์เนสลูบดวงหน้าที่เย็นเฉียบ เขาทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างทางอย่างไม่อายสายตาใคร..


   ไม่น่าเลย... ไม่น่าเผลอนึกถึงมันเลย...


   ไม่น่าเผลอนึกถึงภาพนั้นที่ยังคงติดต่อมาจนถึงทุกวันนี้เลย...



   ท่าทางเขาคงจะต้องนอนพักบ้างจริงๆนั่นแหละ...



   เด็กหนุ่มนวดขมับน้อยๆ “ฉันว่าฉันคงต้องนอนพักซะบ้างแล้ว นี่เธอกลับบ้านเองได้ใช่ไหมเออร์เว่น”

   “อาร์มอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดนะคะ.. คุณต่างหาก กลับไปที่หอได้รึเปล่าคะ?” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง ยังไงซะอีกฝ่ายก็เพิ่งมาใหม่ และยังเด็กกว่าเธออีกด้วย จะให้ปล่อยไปถ้าหลงทางขึ้นมาคงไม่เป้นการดีแน่..

   “แค่หันหลังแล้วเดินตรง กับเลี้ยวซ้ายเท่านั้นไม่ใช่เหรอ... ฉันกลับถูกน่ายัยบ้า” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน ขยี้เรือนผมสีเข้มของหญิงสาวจนยุ่งไม่เป็นทรง “เด็กประถมน่ะ กลับบ้านไปทำการบ้านแล้วเข้านอนดีกว่านะ”

   ปิดประโยคด้วยรอยยิ้มแสยะที่มุมปากราวกับว่ามันน่าสนุกซะเต็มประดาที่ได้เรียกหญิงสาวว่าเด็กประถม..


   “เออ.. จริงด้วยเออร์เว่น!” เออร์เนสหันกลับมาหาอามิน่า เขาขยี้ผมตัวเองเล็กน้อยด้วยความประหม่า “ขอบใจนะที่ช่วยพาเดินชมเมือง ยังไงก็..นับจากนี้คงต้องฝากตัวด้วยนะ..ในอีกหลายๆเรื่องน่ะนะ แล้วว่างๆอาจจะมาถามเรื่องหางานด้วย”


   “อ่ะ..คะ..ค่ะ!” เธอยิ้มให้กับแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เดินห่างออกไป และด้วยช่วงที่ยาวกว่ามาก ทำให้ไม่นานนักคนตรงหน้าก็หายลับไปจากสายตาของเธอ เธอหัวเราะเบาๆกับนิสัยที่ดูจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนตามอารมณ์ไม่ค่อยถูก ก่อนจะกลับบ้านของเธอบ้างเช่นกัน..

.

.

.

.

.

.

.

.

.



   “พี่เอิร์นกลับมาแล้วเหรอ...พี่แอโรว์..” เอลลี่ที่งัวเงียตื่นปิดปากหาว เธอขยี้ตาด้วยมือเล็กๆของเธอ

   “หลับไปแล้วต่างหาก...” แอโรว์ที่ก้มลงเก็บผ้าปิดตาที่ถูกโยนทิ้งทันทีที่ผู้เป็นเจ้าของก้าวเข้ามาให้ห้องด้วยรอยยิ้มเหนื่อยใจ “กลับมาก็อาบน้ำแต่งตัว แล้วหลับไปอย่างที่เห็นนั่นแหละ” เขาพยักเพยิดไปทางชายบนเตียงซึ่งหลับสนิทอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกต่อไป


   ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดจมหายลงไปในความง่วงงุน


   และดำดิ่งลงไปในความฝัน...ที่ตนไม่เคยต้องการจะจดจำ...
  




   ในฝันนั้นเขาเห็นร่างที่ลูกตาเหลือกโพลงและลิ้นจุกปาก...ใบหน้าเขียวจากการขาดอากาศนั้นเริ่มจะซีดเซียว...

   ลำคอที่แดงเป็นปื้นจากเชือกเส้นหนาซึ่งรัดแน่น..และยังจะแน่นยิ่งขึ้นไปจนลำคอของคนตรงหน้าทำท่าจะขาดออกจากลำตัวเสียให้ได้...

   ..ไม่นานนักเชือกเส้นนั้นก็ยิ่งรัดแรงขึ้นๆ บ่วงที่เกิดจากการมัดผิดวิธีรัดแรงจนเขาเห็นกระดูกสีขาว..


   แต่ร่างนั้นกลับเหลือกตามองตรงมาที่เขา และพยายามขยับมือคว้าตัวเขาเอาไว้.. หากแต่เด็กหนุ่มกลับก้าวถอยหลังและพยายามจะไม่หันกลับมามอง...


   “คุณคะ...คุณคะ...” เสียงแห้งแหบดังซ้ำๆกันออกมาจากปากที่แห้งผาก ร่างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆเริ่มเน่าดูน่าสะอิดสะเอียน...


   “ผมไม่ใช่พ่อ...” เออร์เนสกัดริมฝีปากเมื่อมือหลายสิบคู่ฉุดตัวเขาให้จมดิ่งลงไปในความมืด... ร่างที่เป็นเพียงเด็กชายวัยสิบสองตัวสั่นเทาเมื่อโครงกระดูกเปื้อนเลือดพยายามจะจับเขาให้ลืมตา..


   “ไม่ใช่...”

   เด็กชายหลับตาแน่น พยายามปัดป้องตนจากมือหลายสิบคู่ที่คืบคลานเข้ามาพร้อมเสียงพูดของแม่


   “ผมไม่ใช่...!!”


   ในที่สุดเขาก็สะบัดตัวได้สำเร็จ เขาวิ่งไปตามทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นเขาไม่ได้ยินเสียงอะไร หรือเสียงใครตามมาอีกแล้ว...เขาเห็นร่างของแม่ในสภาพสมบูรณ์กำลังยิ้มให้เขาอยู่ปลายทาง เขาวิ่งเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเมื่อเธอเปิดอ้อมแขนรอรับเขาที่กำลังไปหา....


   “เออร์นี่...มาหาแม่สิ.....”

   เสียงของแม่แผ่วเบาและดูห่างไกล มือที่เอื้อมไปจะคว้าแขนนั้นกลับทำได้เพียงคว้าอากาศที่ว่างเปล่า..


   ร่างของมารดายังคงส่งยิ้มมาให้จากสุดปลายทาง...จู่ๆก็ถูกกระชากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเชือกเส้นหนาที่กระตุกแรงจนร่างและศีรษะขาดออกจากกัน!


   และร่างที่เป็นคนกระชากเชือกเส้นนั้นคือชายวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีบลอนซ์ทองอ่อนราวรวงข้าว ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเหลือบมองเขาด้วยหางตายามจับศีรษะในมือหมุนไปมาเหมือนกับลูกบอล

   “ไม่...”


   ชายคนน้นยิ้มให้เขา...เป็นรอยยิ้มแสยะที่น่ารังเกียจ...


   “ไม่…..!!!”




   “พี่ครับ!!” แอโรว์ตะโกนกรอกหูพี่ชายที่เด้งตัวลุกพรวด พร้อมคว้าลำคอของน้องชายเตรียมจะเหวี่ยงชนกำแพง.. แต่ยังดีที่เขายังยั้งมือทัน.. ร่างสูงรีบปล่อยตัวเด้กชายให้เป็นอิสระ เขาตบหน้าผากตัวเองเบาๆ

   “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ามายุ่งตอนที่ฉันฝันร้าย ถ้าฉันเผลอเหวี่ยงนายออกไปข้างนอกขึ้นมา..”

   “ถึงตอนนั้นผมจะเป็นวิญญาณมาคอยติดตามพี่อีกคน” แอโรว์ไอค่อกแค่ก เขาลูบคอตัวเองเบาๆ “พี่ดูเหมือนว่า..จะไม่ฝันร้ายมานานมากแล้วนะ ผมว่าพี่คงเหนื่อยเกินไปจริงๆ”

   “ฝันร้ายน่ะบ่อย แต่ฝันถึงแม่ต่างหากล่ะ..” เขาเอนตัวพิงกำแพง เหลือบมองเอลลี่ที่อึกๆอักๆ แต่พอเขาอ้าแขนออก น้องสาวตัวน้อยก็ถลาเข้ามาหาทันที

   “เป็นฝันที่ชวนอ้วกจริงๆ ฉันจะบ้าตาย..”

   “อาจเป็นเพราะภาพติดตาก็ได้นะพี่ ก็พี่น่ะเห็นแม่....เต็มๆเลยนี่ฮะ” แอโรว์รินน้ำให้เออร์เนสจิบแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “ดื่มนมร้อนซักแก้วไหม ผมจะลองไปขอผู้คุมหอให้ เขาบอกว่าจะทำให้หลับสนิทนะครับ”

   เด็กหนุ่มกลอกตาสีฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย เขาใช้ปลายนิ้วเคาะหน้าผากน้องชายตัวเองเบาๆ “ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่เนี่ย...”

   หากแต่คนตอบกลับเป็นน้องสาวที่ยิ้มกว้าง เธอหัวเราะเบาๆ “พี่เอิร์นจะเป็นน้องของพี่แอร์ก็ตอนที่พี่ทำตัวแบบนี้ไงค่ะ!”


   “หมายความว่ายังไงเนี่ยยัยตัวแสบ...” เออร์เนสหัวเราะร่า เขาล้มตัวลงนอน “แต่ฉันว่าฉันนอนกอดตุ๊กตาตัวนี้นอนดีกว่า..” ว่าแล้วก็กอดเอลลี่ที่ยังหัวเราะไม่หยุดแน่น ก่อนจะผลอยหลับไปพร้อมกันโดยมีน้องชายคนกลางอย่างแอโรว์ทิ้งตัวลงนอนบ้าง


   “บางที.. การมาอยู่ที่นี่อาจจะเป็นเริ่องที่ดีของพวกเราก็ได้นะ...”

  เด็กชายเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพวกเขาสามคน


   “ราตรีสวัสดิครับ...”





[Fin.]








+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำไมมันดูเป็นการจบแบบปาหมอนมากเลยล่ะ(รึเปล่านะ?).. แต่นี่ก็พยายามแล้วนะเนี่ย (ฮา) เพราะคิดว่าถ้ายาวต่อไปมันอาจจะเหลดไปเรื่อยๆก็ได้ ; A ;””

ยังไงก็ช่วยติชมด้วยนะคร๊าบ...

ตัวละครที่ออก..



ป.ล. อาร์มกับเกลออกมาน้อยเกินไปรึเปล่าหว่า?

ปลล. เอิร์นแกล้งเรียกอาร์มว่าเด็กประถม.. แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคิดว่าอาร์มเป็นเด็กประถมจริงๆนะครับ

ปลลล. เรื่องนี้เป้นเร่องก่อนที่เกลจะออกเดินทางนะครับ

ปลลลล. สาธุ..ขอให้รอดด้วยเถอะ..... (-/\-)…. (<<ห๊ะ!??)



 มีน้องเล็กๆ ตั้งสองคน อิจฉาจัง XD 
น้องๆ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุนะคะ แต่พอกลัวคุณเกลนี่ถึงขั้นขำกร๊าก โดยเฉพาะแอโรว์ กลัวด้วยเรอะนั่น 
คุณเกลใจดีออกนะ...
#6By Pudding Friday on 2010-06-20 19:28

เรื่องใหม่เหรอครับ เรื่องอะไรเหรอ BT นี้ตัวย่อเปล่า
แล้วเรื่องนักเดินทางกับตัวตลกมันเดินไปถึงหลวงพระบางยังครับopen-mounthed smile

จะให้คอมเม้นแบบไม่เกรงใจนะครับ อย่าโกรธล่ะ ติเพื่อก่อ...surprised smile

1. ช่วยเปลี่ยนสีแบล็คกราวกับตัวอักษรเป็นแบบถนอมสายตาด้วยครับ
เพราะดูแล้วปวดตับมาก โมโมะเคยเล่นเกมส์ภาพพระเยซูไหมครับ
ที่เพ่งไปที่ภาพพระเยซูแบบขาวดำนานๆ แล้วมองไปที่พนังขาวๆ
จะเห็นรูปนั้นลอยออกมา นั้นแหละ อารมณ์นั้นเลย

2. รู้สึกตัวละครจะชื่อ อ เยอะจังเลย ทั้งแอโร ว์ เอลลี่
เออร์เนส อี อิลทุมม์ (อ่านยากจัง ขอแบบอังกฤษหน่อย) อามิ น่า เออร์เว่น(โผล่มาก็ถูกใจแล้ว โมเอ้สุดๆ )
ลองตัวอักษรอื่นบ้างนะครับ เช่น เบน แซ็ก กราวเกอร์ กำกิงๆ อะไรอย่างนี้

3. เกริ่นนำยังไม่น่าสนใจนะ ถ้าลองทำให้งงกว่านี้จะน่าติดตามกว่า
เช่น ยกฉากสำคัญอย่างซิสเตอร์ถูกชน

....โครม!!!!!!!!!!!!!

เสียงของรถแดงชนร่างเพรียวลอยลิ่วตะหลิวเล่นลม
ไทยมุงกรูกันมาเบิ่ง

แล้วค่อยตัดมาตอนถึงบลอด เวน จะน่าสนใจกว่า

4. ยาวเกิน ตอนแรกเอานิดๆ ชวนติดตามก็พอquestion

5. เนื้อเรื่อง SM เหมือนเดิมนะครับsad smile

เท่านี้ล่ะ แล้วจะรอตอนต่อไปนะครับ question
#5By Nafkung on 2010-06-12 23:39
ลืมบอก.. /บีบไหล่

จะรอจบที่มันไม่ได้ปาหมอนนะ *อึก*
ปล. มิได้ตั้งใจสแปมคอมเม้นแต่อย่างใด..
#4By Amina Eirwen on 2010-06-11 23:59
รู้สึกเหมือนซิว..

ชอบช่วงที่คุยกับอาร์ม แอบยิ้มง่ะ อาร์มเด็กมาก 

ชีวิตเอิร์ล ดราม่ามาก.......
#3By Amina Eirwen on 2010-06-11 23:58
ย...ยาวววววววววววววววว

//วิ่งหนีไป

//โดนพี่จายลากมาต่อย
#2By Raveno Sinyor on 2010-06-11 20:39
ยาวฟ่ะ...

ชั้นชอบ ช่วงที่คุยๆกับอาร์มแฮะ 5555
แอร์มันพี่คนโตนี่หว่า...

เอิร์นนี่อารมณ์ขึ้นๆลงๆแฮะ
#1By D.C.เก้าแต้ม on 2010-06-11 17:56




No comments:

Post a Comment