Monday, March 28, 2016

037. [ยมโลก] ท้องฟ้า... 2010.09.20

[ยมโลก] ท้องฟ้า...

posted on 20 Sep 2010 22:17 by darkodin in FictionYL

..ข้าชอบที่จะนอนมองท้องฟ้า..

...ท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ข้าหลงไหลเสมอมา...

...ข้าเคยปรารถนาจะไขว่คว้าผืนนภานั้นมาไว้ในอ้อมแขน...

...โอบกอดด้วยแรกทั้งหมดที่มี และแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน...


..หากแต่ความงดงามนั้นกลับอยู่ห่างไกลเหลือเกิน..

....ไม่ว่าข้าจะปีนขึ้นไปสูงเพียงไหน....

..ไม่ว่าข้าจะพยายามซักเท่าใด..

..มือที่เอื้อมขึ้นไปของข้าก็ไม่อาจเคยได้สัมผัสมัน..


...ผืนนภาสีฟ้าสดใส..เปลี่ยนเป็นสีแสดแลดูเงียบเหงา..หรือยามกลายเป็นสีนิลกาลชวนฝัน...

...ทั้งหมดนั้นถูกแต่งแต้มด้วยแสงพราวระยับของดวงดาวนับล้าน...

....ระบายแผ่วๆด้วยแสงนวลอ่อนโยนของจันทรา....

..ประดับประดากระทั่งแสงเจิดจ้าอันร้อนแรงของดวงตะวัน..


...ข้าที่นั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่บนพื้นดินก็ทำเพียงได้แค่จ้องมอง...

........

.....ท้องฟ้าเจ้าเอย....

....สูงใหญ่เกินไป..กว้างขวางเกินไป....

....เจ้าจะรู้บ้างหรือไม่....

...หรือเจ้าไม่เคยก้มมองลงมาหาผืนดินกัน...


.................


   ข้าทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน..ของตัวข้าเอง...อ่อนล้าเกินจะทน.. ข้าไม่ไหวแล้ว...ขยับไม่ได้เลย...

   ข้ารู้ดีว่าอีกไม่นานตัวข้าจะต้องตาย..เสียเลือดตายอย่างไร้ทางขัดขืน...

   แต่อย่างน้อย...ข้าพยายามจะยิ้ม....ข้าก็ได้ตายอยู่ภายใต้ผืนฟ้า....ข้าหลอกตัวเองเช่นนั้น.....


   ท้องฟ้าที่ข้าเฝ้ามองมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย...ทุกวันเดือนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ ข้าที่พยายามจะเอื้อมไปสัมผัสมันกลับไม่เคยเข้าใกล้ได้เลยซักครั้ง....


   จนกระทั่งวันนี้....



   ร่างบนพื้นดินพยายามเพ่งสายตามองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย....สีที่เขาหลงไหล...แต่ไม่เหมาะสมกับเขา.....ไม่เคยเหมาะ และไม่มีวันเข้ากันได้กับสีตาคู่นี้......


   ชายหนุ่มนอนนิ่งไม่ขยับ เรือนผมสีทรายยาวสยายไปกับพื้นหญ้า เปรอะไปด้วยสีน้ำตาลที่แห้งกรังจนดูแทบไม่ออกว่าสีเดิมของมันนั้นคืออะไร เช่นเดียวกับเสื้อซอมซ่อที่ขาดวิ่น แขนขวาที่แต่เดิมนั้นถูกตัดไปครึ่งแล้ว กลับถูกตัดซ้ำและเลือดยังคงไหลไม่หยุดเช่นเดียวกับบาดแผลตามร่างกาย..

   ..เขากำลังจะตาย....เขารู้ตัวดี....

   ตายที่นี่...ป่าแห่งนี้....

   ตาย......


   มือซ้ายค่อยๆขยับเป็นครั้งสุดท้าย เอื้อมมือขึ้นหาผืนนภาสดใส..ดูร่าเริงจนเขาหลุดยิ้มออกมา...

   “...จน...สุ..ด....ท้าย.....”

   นัยน์ตาที่ไร้แวว...ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด......สีฟ้าหายไปแล้ว...ทิ้งไว้เพียงความมืดแสนว่างเปล่า..ราวกับเยาะเย้ยถากถางผู้ต้องการไขว่คว้าสิ่งยิ่งใหญ่เช่นนั้นอย่างเขา...

   “...ข้าก็..........ยั...ง..ไม่อาจ........”

   เรียวปากไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้อีกแล้ว.. ลำคอแห้งผากเปล่งไม่ออกกระทั่งเสียงคราง.. และยามที่มือซ้ายตกลงข้างลำตัว หยาดน้ำตาใสๆก็ไหลลงมาจากดวงหน้าคม....มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาแสดงความรู้สึก....

   ของเหลวอุ่นๆที่ไม่นานก็เย็นเฉียบเพราะสายลมที่พัดผ่าน...เขาไม่อยากรู้สึกอะไรอีกแล้ว..

   ไม่อยากรู้เลย.....

   ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่ท่านนั้นชมนักหนาว่างดงามยังคงสะท้อนเงาของผืนฟ้าที่ตนรัก...แต่เจ้าของกลับมองเห็นเพียงสีดำที่มืดบอด...ช่างตลกและโง่งมสิ้นดี..

   หากแต่ท้องฟ้านั้นกลับสดใส และแสดงแดดก็ยังฉายอย่างอ่อนโยนดั่งเช่นทุกวัน...ไม่เคยรับรู้ถึงชีวิตที่เฝ้ามองเสมอว่าจะตายอย่างไร...ไม่แม้แต่จะโศกเศร้า หรือร่ำไห้.....เพียงแค่ก้มมองเพียงชั่วครู่ หาได้ใส่ใจไม่....


   ชายหนุ่มที่แทบจะไร้ซึ่งลมหายใจ..ถูกกระตุ้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วยร่างกายที่ถูกฉีกกระชากและกัดกิน...ด้วยสิ่งมีชีวิตที่เขาปกป้อง...ด้วยป่า....ที่เขารัก........

   เลือดในกายซึมลงใต้ผืนดิน ให้รากของเหล่าพฤกษาได้ดื่มกินอย่างหิวกระหาย..

   กระดูกถูกหัก เนื้อหนังถูกฉีกกระชากขาดจากกัน และเหวี่ยงโยน ยื้อแย่งกันไปมา..


   ...เขาตายลงอย่างง่ายดาย...สมแล้วกับเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ....ที่ป่ามักกล่าวดูแคลนอยู่เสมอ....


   หยดน้ำตา...ที่ค้างอยู่หยดลงมายามศีรษะถูกยกขึ้นจากพื้น กระชากเรือนผมยาวที่มอมแมมขึ้นโดยไร้ซึ่งการทนุถนอม..


   ...ตายในป่า....และกลายเป็นอาหาร....

   ...สุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่นี้.....

   ........ไม่มีใครร่ำไห้ ไม่มีผู้ใดเสียใจ....

   ...สิ่งที่พยายามมาตลอด...พยายามให้เป็นที่ยอมรับ...พยายามมาตั้งแต่เด็ก....

   ........เป็นความพยายาม..........ที่ไม่อาจ...เป็นจริงได้เลยงั้นหรือ......


   ..ร่างกายที่ถูกกัดกิน...ไม่ได้รับการดูแลกระทั่งสวดมนตร์หรือฝังให้.......

   .....เพราะเขาเป็นคนบาป...เป็นเพียงมนุษย์....


   ...เศษซากที่เหลือถูกโยนทิ้งไว้ หากไม่เน่าสลาย สัตว์ตัวอื่นก็จะมากัดกินต่อ....


   ความตาย...ซักวันก็ต้องเจอ....

   เขารู้มาตลอด และยอมรับได้มานาน...

   ...เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะต้องตายในรูปแบบใดก็เท่านั้น....

  ...ไม่เคยรู้...ว่าจะได้พบกับความตายเช่นนี้.....

   .....ตายแบบนี้......



............


...เขาเคยนอนมองท้องฟ้า...

....เคียงข้างท่านผู้นั้น...ผู้ที่เขาฆ่าทิ้งไป.....

...พระจันทร์.....ที่แสนอ่อนโยนนั่น..

.......ความจริงแล้ว.........

......จะรังเกียจเขารึเปล่านะ.....


หรือเพราะแบบนั้น...ท้องฟ้าถึงไม่เคย...ที่จะใส่ใจ

เขาเคยลงมือสังหาร...หันหลังป่า...เพราะแบบนี้หรือเปล่าจึงไม่มีใครสงสาร


..แต่หากให้เลือกที่จะเดินอีกครั้ง....บางที...เขาอาจจะยังคงเดินผิดซ้ำสอง อยู่ภายใต้ท้องฟ้าผืนงาม.....

....กวัดแกว่งดาบคู่ในมือปกป้องสิ่งเหล่านี้ที่ไม่เคยเห็นคุณค่า....

...เป็นเพียงคนโง่งมที่อยากปกป้องสิ่งที่ตนรัก...

...แม้จะไม่ได้รับการตอบแทนเลยก็ตาม...

.......

................................................................................................................................



   “ท่านศศิ! ดูนั่นสิขอรับ..”

   เด็กชายตัวน้อยเหยียดยิ้มกว้าง เขาชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า พระจันทร์สีขาวนวลที่ยังไม่ถูกแสงตะวันกลืนกินยังลอยเด่นเป็นสง่า และช่างดูงดงาม...

   “ฮึๆ.. เจ้านี่ชอบท้องฟ้าเสียจริงนะเด็กมนุษย์ ชอบมากกว่าผืนดินเชียวหรือ” รุกขเทวดาหัวเราะในลำคอ เขายิ้มให้ด็กชายด้วยความเอ็นดู

   “ชอบมากขอรับ.. สีฟ้าที่สวยงามเพียงนั้น....ข้าอยากสัมผัสมันซักครั้ง...”

   กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างและทิ้งตัวลงกับพื้น เอื้อมมือขึ้นไป เหยียดจนสุดก่อนกำแน่นและคลายออก ท้องฟ้าที่ไม่เคยสัมผัส หากได้ลองโอบกอดดูซักครั้งจะเป็นอย่างไรนะ...

   จะอ่อนโยนรึเปล่า...จะอบอุ่นไหม...จะมีรูปร่างเป็นเช่นไรกันหนอ....

   ศศินั่งลงบนขอนไม้ มองเด็กชายที่นอนเล่นอยู่บนพื้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสายตาเศร้าหมอง

   “เจ้าอย่าคาดหวังอะไรกับผืนฟ้าเลยเด็กน้อย...ท้องฟ้านั้นช่างต่างจากที่เจ้าคิดนัก....”

   เสียงพึทพำที่ส่งไปไม่ถึง และไม่ต้องการจะส่งไปให้เด็กชายตรงหน้าได้รับรู้ ศศิทำเพียงแค่ยิ้มยามเด็กน้อยวิ่งเข้ามาหา ร้อยดอกไม้เป็นกำไลข้อมือ และหัวเราะหยอกล้อกันเช่นนั้น...

   หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้วันเวลาเหล่านี้เป็นนิรันดร์....

   ไม่อยากให้เด็กผู้นี้ได้รับรู้ถึงความจริงที่น่าเจ็บปวดเลยซักนิด....


   ดวงตาสีน้ำตาลแทงมองฟ้าอีกครั้งก่อนหันกลับไปหาชายหนุ่มที่กำลังจะเริ่มบรรเลงเพลงพิณ เขาทิ้งตัวลงนั่งฟัง พร้อมกันนั้นเขาพบกับขนนกใหญ่ของเจ้าแห่งเวหา ซึ่งตนนั้นหยิบขึ้นมาหมุนเล่นด้วยความสนใจ และอดคิดไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้..



....หากเขามีปีกที่จะโผบินไปจริงๆ....

...ที่ตรงนั้นเขาจะได้พบกับอิสระหรือเปล่านะ...


...และหากเขามีปีกได้จริงๆ...

....ทุกคนในป่าจะยอมรับเขามากขึ้นรึเปล่านะ....

............



[END.]


ในที่สุดก็ได้แต่ง “ท้องฟ้า” ซักที(ฮา) ความจริงแล้วก็เพิ่งคิดได้วันนี้ด้วยล่ะนะ/เหวง

เพราะวาดรูปไม่ได้ก็เลยเฟล...เพราะเปิดเรียนแล้วก็เลยเฟล....เพราะอย่างนั้นก็ระบายมันออกมาซะ!!

อ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะ /เสยผม

ชอบบบ~ ซึ้งกินใจจังเลยค่ะ การพรรณาสละสลวยไพเราะมากเลยsurprised smile
#6By บาบิโลน on 2010-10-09 21:22
ซึ้งเข้าไปฮือ ซึ้งเข้าไป




//เข้าไปร่วมทึ้งไกร..อร่อยไหมนะ อร่อยไหมนะ
#5By -sparrow- on 2010-09-22 22:02
มาม่าอ่าT[]T
อย่าเพิ่งเฟลฮ่ะ ใจเย็นๆ //พัดๆ
ประวัติมาม่าอีก 1 ตน ฮึก!
#4By Dark&White on 2010-09-21 23:19
มาม่าอีกแล้ววววววววววว!!!!
เศร้านะเนี่ย (กอดพี่โม่วและรัดแน่น)
อย่าเพิ่งเฟลลล!!!
#3By primmie on 2010-09-21 01:57
/ยกกำลังใจให้โม่ว

อย่าเพิ่งเฟลลลลล
สู้ๆนะจ๊ะ
#2By ☆★ペコキチ★☆ on 2010-09-20 22:26
(กอดเฮียกับไกร) เอาเจ้าแห่งท้องฟ้าไปกอดแก้ขัดละกันเนอะ..

แอบศร้าฟ่ะ...
#1By I'm ProtozoA on 2010-09-20 22:24




No comments:

Post a Comment