Monday, March 28, 2016

032. [aph fic]forget me not..ได้โปรดอย่าลืมฉัน 2009.03.19

Forget me not..ได้โปรดอย่าลืมฉัน


Title: Forget me not..ได้โปรดอย่าลืมฉัน
Author: Movivin (M. black sheep)
Pairing: ลุด กิล? ..ไม่วายหรอกนา...มั๊ง?

Warnings: เรื่องนี้แต่งไปด้วยความ...จะความอะไรก็ช่างมันเถอะ ไอ้กลอนสองบทแรกนั่นก็แค่บิ้วเฉยๆไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเลย.. ความจริงก็กะจะไม่แต่งแล้วล่ะแต่เพราะวาดรูปไม่ออกเลยมานั่งแต่งต่อให้จบด้วยล่ะน้า...เฮ้อ...(ไอ้เลว..) แต่ยังไงๆก็ I love LugxGil (และกิลเคะ) นะคร๊าบ >[ ]<
**ผู้แต่งไม่ได้เน้น/อิง อะไรประวัติศาสตร์นะครับ!!!**


+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +



ในวันนั้นที่ฉันจับมือนายไว้ นายเคยขอร้องให้ฉันจับมันไว้อย่างนั้นและอย่าปล่อยมือออกเด็ดขาด อย่าให้ฉันทอดทิ้งนายไปแล้วไม่กลับมาเหมือนบรรดาทหารที่ล้มตายไปในสนามรบ..ซึ่งฉันก็ทำตามคำขอของนายเรื่อยมา..ว่าจะมีชีวิตอยู่ตราบลมหายใจสุดท้ายเพื่อนายคนเดียว

แต่ฉันรู้ดีว่าซักวัน..วันหนึ่งในอนาคตอีกไม่นานนี้ นายจะเป็นคนปล่อยมือฉันไปและทิ้งฉันไว้เบื่องหลังโดยไม่หันกลับมาหาฉันอีก

นายไม่เคยรู้เลยว่าฉันแคร์นายมากแค่ไหน นับตั้งแต่คนๆนั้นตายไปข้างกายฉันก็มีเพียงแต่นายที่ยังคงอยู่

ฉันอาจจะผิดที่ไม่ได้อยู่กับนายเสมอเหมือนอย่างคนอื่นๆที่เขาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว..ฉันรู้ว่าฉันผิดที่ทิ้งนายให้คนอื่นเลี้ยงดู...แต่ทุกสิ่งที่ฉันทำไปก็เพื่ออนาคตของนาย..

นายอาจจะไม่รู้ว่าฉันไปทำอะไรบ้าง ต้องเจ็บปวดแค่ไหน..ยากลำบากเพียงใด นายอาจไม่เข้าใจหรอก แต่แบบนั้นแหละดีแล้ว ฉันอยากให้นายเป็นแบบนั้น มีรอยยิ้มที่ไม่เคยรับรู้ว่าหลายคนที่ต่างล้มตายไปก็เพื่อให้นายคงอยู่และยิ่งใหญ่เกรียงไกร..


“กิลเบิร์ต..นายรีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ลุดวิกเขารอนายอยู่หน้าบ้านทั้งคืนจนไข้ขึ้งสูงมากเลยนะยะ!!”

ในตอนนั้นฉันได้ข่าวจากอลิซาเบทที่ส่งผ่านมากับเหยี่ยวสื่อสาร..นายรู้ไหมว่าฉันใจหายขนาดไหน ฉันรีบควบม้ากลับมาเฝ้าดูนายทั้งคืนและรีบรุดกลับไปคุมทัพในยามเช้าโดยไม่หลับไม่นอนซ้ำไปมาแบบนั้นอยู่หลายวัน

นายไม่รู้หรอกว่าฉันที่เดินทางกลับมาและยังคงยิ้มให้นายความจริงแล้วบาดเจ็บมากเพียงใดนายไม่เคยรู้เลย....



“กิลเบิร์ต แผลขนาดนั้นนายควรรีบไปหาหมอด่วนเลยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกนาฟรานซิส..ฉันกลับไปหาเวสท์แป๊บเดียวเอง แล้วจะรีบกลับมาช่วยต่อแล้วกัน”

“แต่นายไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้วนะกิลเบิร์ต อยากตายเร็วนักรึไง!!”

“นายก็รู้ว่าฉันไม่ตายง่ายๆหรอกอันโตนิโอ้” ฉันโบกมือปัดๆก่อนกระโดดขึ้นมาควบหนีมือสองคู่ของสหายร่วมรบที่ตั้งใจจะจับฉันไปทำแผลและขังฉันไว้แต่ในกองทัพจนกว่าแผลจะหาย..แต่ไม่ได้หรอกนะ เพราะวันนี้มันเป็นวันสำคัญนี่นา...

“เดี๋ยวก่อนสิ...ไอ้บ้ากิลเบิร์ต!!”

ฉันก็เป็นคนแบบนี้นี่แหละ..จะตายก็ช่าง จะอยู่ก็ช่าง..ขอเพียงคนสำคัญของฉันปลอดภัยก็พอ เพื่อเรื่องพรรณนี้แล้วฉันยอมทำทุกอย่างนั่นแหละ เพราะอย่างนั้น...ได้โปรดอย่าหาว่าฉันบ้าบิ่น ได้โปรดอย่าเมินเฉยฉันราวกับไร้ตัวตน..ฉันทำไปเพียงเพื่อนาย..นายเพียงคนเดียว...


“กลับมาช้าชะมัดเลย! ผมรอพี่จนอาหารเย็นชืดหมดแล้วนะ!!” เสียงเล็กๆที่ร้องขึ้นพร้อมกำปั้นที่ทุบลงมาทำให้ฉันต้องรีบจับข้อมือน้อยๆนั้นไว้ก่อนที่แผลจะเปิดกว้างมากขึ้น ฉันขยี้เรือนผมสีทองแล้วขอตัวไปหาพ่อคุณชายเพียงครู่หนึ่ง..เพื่อทำแผลนี้ไว้ไม่ให้นายได้รับรู้ว่ากำปั้นน้อยๆของนายกำลังจะเปิดปากแผลที่ถูกปิดด้วยคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรัง...

“กิลเบิร์ตนายติดสงครามอยู่ไม่ใช่เหรอ?” โรเดริคพูดแบบนั้นเมื่อเห็นฉันโผล่หน้าเข้าไปหา

“ฉันแค่กลับมาให้ทันวันเกิดของเขาก็เท่านั้น” ฉันว่าพลางถอดเสื้อออก “นายช่วยทำแผลให้ฉันภายใน 3นาทีจะได้ไหม”

“บ้าเรอะ...!! นี่นายอยากตายเหรอกิลเบิร์ต แผลขนาดนี่มัน..โธ่! ความจริงนายไม่ต้องกลับมาก็ได้นะ” โรเดริครีบคว้าเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ฉันโดยที่ปากก็ยังบ่นไม่หยุด “เขาไม่เป็นไรหรอกก็แค่ซึมไปซักพักแต่เดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม นายควรจะห่วงร่างกายตัวเองมากกว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้นะ”

“ฉันรู้..แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ปล่อยไปไม่ได้หรอก” ฉันยิ้มบางเมื่อเห็นโรเดริกพันผ้าพันแผลให้ฉันเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นสวมเสื้อโดยไม่ฟังเสียงท้วงติง “เขาเป็นน้องชายแสนสำคัญเพียงคนเดียวของฉันนะโรเดริก วันนี้ฉันกลับมาหาเพราะฉันสัญญากับเขาเอาไว้แล้วด้วย”

“นายก็เอาแต่พูดอย่างนั้น..แล้วเด็กคนนั้นรู้รึเปล่าว่าวันนี้เป็นวันเกิดของนายด้วยเหมือนกัน”

“เรื่องนั้น..ช่างมันเถอะ ขอเพียงแค่เขามีความสุขก็พอแล้วล่ะ”

นั่นเป็นคำพูดที่ฉันคิดว่าไอ้คุณชายคนนี่คงจะฟังจนเอือมระอา เขาทำเพียงพยักเพยิดไล่ให้ฉันออกไปจากห้อง

ตรงทางเดินลุดวิกกำลังยืนรอฉันด้วยใบหน้างอง้ำ เด็กเอ๋ยเด็กน้อยที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเห็นฟรินซ์ตัวน้อยที่ยืนทำแก้มป่องหลังถูกพ่อว่ายังไงชอบกล

“ไงพ่อตัวดี อยู่ที่นี่เป็นเด็กดีรึเปล่าหืมม์?” ฉันขยี้ผมของเขาอีกครั้ง เด็กตัวน้อยราวกับเทวดากอดสมุดในมือแน่น บางทีฉันก็เข้าใจว่าเขาไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากกองหนังสือของโรเดริค แต่บางครั้งฉันก็คิดว่าเพราะแบบนี้แหละนิสัยเขาถึงกลายมาเป็นแบบนี้

“ผมเป็นเด็กดีกว่าพี่อยู่แล้วล่ะน่า อ๊า! เอ็บๆๆ!!” ผมดึงปากเขาให้ยืดออกแล้วหัวเราะเสียงดังก่อนปล่อยให้เจ้าน้องชายได้ลูบปากตัวเองแก้เจ็บด้วยสายตาขุ่นมัว เจ้าน้องตัวดียิ่งได้แกล้งก็ยิ่งสนุก เพราะฉันรักนายมากเลยอยากให้นายได้มีความสุข...
“พี่จะอยู่นานไหม”

“จนกว่านายจะเข้านอน” ฉันว่าพลางตักอาหารเข้าปากก่อนเหลือบมองดวงตาสีฟ้าที่หม่นหมอง “เสร็จสงครามนี้ก็ได้พักยาวแล้วนา..” พูดไปอย่างนั้นนายถึงยิ้มได้ ฉันสาบานไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ตัวดีว่าบางทีมันอาจจะไม่มีวันนั้น

ฉันไม่เคยพูดกับนาย..แต่ฉันก็รู้ตัวดีเสมอว่าหากในเร็ววันฉันต้องตาย ข้างกายฉันจะไม่มีนายอย่างแน่นอน...

ถึงฉันจะไม่อยากให้นายตั้งความหวังกับฉันคนนี้..แต่ขออย่างเดียวคือขอให้นายจงเชื่อใจฉันเพียงเท่านั้นก็ยังดี เชื่อในคำโกหกคำนี้ของพี่ชาย..

ฉันคุยกับนาย เล่นกับนาย และส่งนายเข้านอน..จับมือนายที่โยเยพร้อมเล่านิทานก่อนนอนจนนายผลอยหลับไป ฉันแกะมือนายที่จับฉันแน่นออกอย่างเบามือก่อนจะคว้าหมวกและดาบเพื่อกลับไปที่สนามรบ เพื่อไม่ให้นายต้องตื่นจากความฝันอันแสนหวาน..เพื่อที่ฉันจะได้จากไปโดยไม่หันกลับมามอง

โรเดริกเดินมาส่งฉันที่หน้าประตูพร้อมผ้าพันแผล เขามองดูฉันที่ขึ้นม้าแล้วจึงปิดประตูเดินหายไปทำงานที่ยังคั่งค้างอยู่

ฉันควบม้ากลับมาถึงค่ายราวๆตีสาม ฟรานซิสกำลังนั่งเท้าคางมองดูดาวโดยมีอันโตนิโอ้นอนแผ่อยู่ข้างๆ เขาเหลือบมองฉันก่อนตวาดใส่เสียงลั่นและลากฉันเข้าไปหาหมอในกระโจม..ฉันถูกทั้งบ่นทั้งว่าจนหูชาตลอดวัน แต่มันก็คุ้มค่าที่ฉันยังมีชีวิตรอดกลับไปหานาย



กาลเวลาเริ่มเดินอีกครั้ง ฉันกับฟรานซิสแตกแยกออกจากกันโดยที่อันโตนิโต้เข้ากับฟรานซิส อลิซาเบทแต่งงานกับโรเดริคแล้วหันไปใช้ชีวิตแสนหวานด้วยกันสองคน และฉันก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง นายตอนนั้นเป็นวัยรุ่นที่ไม่รู้ภาษา ยังคงเริงร่าอยู่กับมิตรที่ไม่สนใจฉัน

ฉันต้องยืนหยัดต่อสู้เพียงคนเดียวในโลกกว้างเพื่อปกป้องนายจนต้องกลายไปเป็นเชลย การอยู่กับอาเธอร์ หรือใครๆฉันก็ทนได้เสมอ แม้จะต้องถูกหยามเหยียดหรือมองเป็นของเล่นไว้แก้เหงา

นายไม่เคยรู้เลยว่าฉันต้องทรมานมากแค่ไหน..แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ต้องการให้นายมาเห็นความอ่อนแอของฉันคนนี้หรอก มันดีแล้วจริงๆนั่นแหละ

แล้วต่อมาฉันก็ต้องไปอยู่กับอีวาน..ไอ้โรคจิตที่ทำเหมือนฉันเป็นสัตว์เลี้ยง ขู่เข็นเหยียดหยาม บังคับ ทรมาน...ร่องรอยมากมายที่มันทิ้งไว้บนตัวฉันนายก็ไม่สมควรจะได้เห็น ฉันปกปิดมันด้วยรอยยิ้มที่แสร้งบอกนายว่าไม่เป็นไรเพื่อไม่ให้นายต้องหนักใจไปมากกว่านี้

ฉันได้กลับมาหานายหลังกำแพงถูกทำลาย นายร้องไห้แล้วกอดฉันไว้แน่นในขณะที่ฉันไม่มีน้ำตาให้ไหล...แค่เห็นนายปลอดภัยฉันก็ยินดี...มันดีแล้วใช่ไหมกับสิ่งที่ฉันทำลงไป...ฉันพร่ำบอกตัวเองซ้ำไปมา..มันดีแล้ว....แม้จะเป็นการโกหกตัวเองก็ตามที...

ในที่สุดฉันก็สังเกตุเห็น นายเติบโตขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ร่างกายของนายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ สูงสง่าดุจดั่งราชาที่น่าเกรงขาม ฉันตอนนี้เทียบอะไรกับนายไม่ได้เลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังภูมิใจ

ฉันอยู่กับนายที่อยู่กับคนอื่น ฉันเฝ้ามองนายที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนอย่างเปลี่ยวเหงาเหมือนแต่ก่อน แต่มันก็ดีแล้วที่นายมีรอยยิ้มที่ฉันไม่ต้องการให้มันถูกลบเลือนหายไป

ไม่นานนักฉันก็ได้ฟังคำประกาศ...

ทุกประเทศบอกว่าฉัน “จะต้องหายไป”

ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งฉันไว้เลยซักคน ทั้งเพื่อนเก่า คนรู้จัก หรือแม้แต่ตัวนาย..นั่นเพราะนายไม่รู้ว่าคำๆนั้นมีความหมายว่ายังไง นายคงคิดว่านายกับฉันจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อนเช่นเดียวกับทุกๆคนแต่มันไม่ใช่

นายไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวฉันเลยซักอย่างนอกจากเรื่องที่เขาเขียนบอกกันในหนังสือประวัติศาสตร์อันแสนน้อยนิดที่บ้างก็บิดเบือน แต่งเติม และขาดหาย แต่ทุกๆเรื่องของนายฉันกลับรู้ดียิ่งกว่าใคร..


ในงานวันนั้นนายชวนฉันไปเพื่อให้พบปะกับนานาประเทศโดยไม่ได้รู้เลยว่าฉันกำลังจะหายไปในไม่ช้า..

กางเขนเหล็กบนต้นคอฉันเย็นเฉียบขึ้นเรื่อยๆ ฉันกำลังกลัวที่ต้องหายไปเพียงลำพัง...

และในวันสุดท้ายนี้ที่เป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะ “ไม่มีปรัสเซีย” อีกแล้วนั้น นายและทุกๆคนต่างยืนฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง...ไม่มีใครสังเกตุเลยว่าอีกไม่นานฉันจะหายไป

“อย่าลืมฉันนะเวสท์...” ฉันกระซิบบอกเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมหยาดน้ำตา..นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้ แต่ฉันก็รีบปาดมันออกก่อนที่นายจะหันกลับมา เพราะฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอเพียงใดโดยเฉพาะนาย

ไม่มีใครรู้เลยว่าตัวฉันไม่ได้เข้มแข็งหรืองามสง่า...ฉันไม่ได้แข็งแกร่งหรือมั่นคง..แต่ฉันนั้นทั้งอ่อนแอ ขี้เหงา และเปราะบาง..มันเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวฉัน ไม่เว้นแม้แต่นายที่ไม่เคยใส่ใจ..

..ฉันยอมบาดเจ็บก็เพื่อนาย...

..ฉันยอมโกหกก็เพื่อนาย...

..ฉันยอมตายได้ก็เพื่อนาย...

..แม้นายจะไม่เคยสนใจฉันเลยก็ตามที...
..แต่มันก็ถือว่าฉันได้ทำตามสัญญาแล้วใช่ไหม...ว่าจะปกป้องนายตราบลมหายใจสุดท้ายที่ฉันมี....


....ฉันทำมันสำเร็จแล้วใช่ไหม...ใครก็ได้ช่วยตอบฉันที....


“พี่ชาย..?” เวสท์มองฉันด้วยสีหน้าปรกติ เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามถึงคำพูดนั้นว่าหมายความว่ายังไง

ฉันหัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครและตบบ่าเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เขากำลังจะอ้าปากว่าฉันแต่ก็ต้องหยุดชะงัก..ฉันก้มลงมองร่างกายที่ค่อยๆโปร่งแสงด้วยรอยยิ้มสุดท้ายที่ฉันจะมอบให้เขา

“ประเทศของฉัน..ทุกสิ่งทุกอย่าง...ฉันยกให้นายดูแล..” ฉันเอื้อมตัวไปขยี้ผมเขาเหมือนที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว ตัวเขาสูงมากขนาดไหนวันนี้ฉันเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก ฉันถอดสร้อยไม้กางเขนของฉันแล้วส่งต่อมันให้เขาเก็บรักษาเอาไว้

“ขอเพียงแค่นายอย่าลืมฉัน...เพียงแค่นายเท่านั้นที่ฉันไม่ต้องการให้ลืมว่าฉันเคยมีตัวตน”


...ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งยืนยันในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์...

...ไม่ใช่คำบอกเล่าแบบปากต่อปากที่คอยเล่าขาน..

...ฉันอยากให้นายจดจำฉันไว้ตราบนานเท่านาน...

...เพียงแค่นายเท่านั้นที่ฉันต้องการตลอดไป...


“อย่าลืมฉันนะ...”

...ลาก่อน...น้องชายของฉัน...


นี่จะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่นายจะได้เห็น รอยยิ้มสุดท้ายนี้มีแค่นายเท่านั้นที่ฉันอยากจะให้ แม้ว่านายจะไม่อาจยิ้มให้ฉันได้อย่างที่ตั้งใจ แต่ฉันก็อยากให้คนสุดท้ายตรงหน้าฉันคือนายเพียงผู้เดียว..

“สัญญานะ...เวสท์...”

...ว่าจะไม่ลืมฉันเหมือนใครๆ...


ฉันสลายหายไปเป็นอากาศธาตุเพราะไม่ได้ตายลงหรือล่มสลายเหมือนกับประเทศต่างๆและผู้คนมากมาย ฉันที่เป็นคนพิเศษเพราะเกิดมาโดยไม่ใช่ประเทศก็ไม่อาจตายได้เหมือนใครๆ

นายจะรู้ตัวไหมว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ มองดูนายที่ทรุดตัวลงร้องไห้อยู่เบื่องหน้า นายคงไม่รู้สึกถึงฉันเลยใช่ไหม..

ฉันยืนมองนายที่ตะโกนเรียกฉันอย่างบ้าคลั่งโดยมีหลายประเทศคอยปลอบ ฉันเอื้อมมือที่ไม่อาจจับต้องนายได้ไปข้างหน้าแล้วจึงค้างมันไว้อย่างนั้น




ด้วยเพราะฉันรู้ดีว่าซักวันนายจะกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีฉัน




...และฉันก็รู้ดีอีกเช่นกัน...





....ว่าซักวันฉันจะหายไปจากความทรงจำของนายตลอดกาล......




[The END]


Forget me not..เป็นชื่อของดอกไม้ที่มีความหมายว่า “อย่าลืมฉัน” ดอกสีahkๆเล็กๆที่ในความรู้สึกผมแล้วมันจะสวยมากโดยเฉพาะถ้าอยู่กันเป็นช่อ – ทุ่ง(?) พอดีวันนี้ไปหาเจอพอดีแล้วไม่ได้คิดชื่อเรื่องเลยเอามันยัดใส่ไปเป็นชื่อเรื่องซะเลย(แอบชั่ว)

การที่กิลเบิร์ตจะ “หายไป” เป็นอะไรที่อยากแต่งมานานแล้วครับ ในตอนแรกที่กะวางโครงไว้จะให้กิลมันหายไปโดยทะเลาะกับลุดแหละ =w=d แต่แบบนี้มันน่าจะโอเคกว่ามั๊ง?

อ่า...ยังไงๆก็เชียร์กิลเคะนั่นแหละ(<<ตรงนี้ไม่เกี่ยว)

เนื้อเรื่องเป็นยังไงก็ช่วยติชมด้วยนะคร๊าบ~ เพราะนี่เป็นฟิคแรกที่แต่งเกี่ยวกับเฮตาเลีย..

นี่เป็นรูปครับ

ดอก Forget me not นั้นมีความหมายอื่นคือ "อย่าลืมฉัน" "ความทรงจำชั่วนิรันดร์" "รักแท้" และ "ความทรงจำแห่งความรัก" ครับ

ส่วนตำนานของดอกไม้นี้คงต้องขอให้ไปหากันเอาเอง(ฮา) คนแต่งขี้เกียจแล้วล่ะ..

กิลเบิร์ตม้ายยยยยยย T[ ]T
#12By _llwนด้ๅ_ on 2011-01-16 15:58
เศร้าเกินไปแล้วครับ TT[]TT~!!

ที่กิลยังยิ้มก็เพื่อให้น้องชายสบายใจทั้งที่ตัวเองบาดเจ็บเจียนตาย

ทำไมทุกคนถึงต้องลงความเห็นให้พี่ชายที่แสนดีคนนี้ต้องหายไปล่ะ

ทั้งที่เขาทุ่มเท ทั้งที่เขาเสียสละมากขนาดนี้แท้ๆ

รักลุดกิลนะครับ TTwTT~b

ขอบคุณท่านผู้แต่งมากเลยนะครับ
#10By Game Master Psycho on 2009-09-03 21:09
เศร้าจัง
#9By (61.7.175.144) on 2009-07-18 18:56
อ่านจบแล้วน้ำตาแทบร่วง

สงสารกิล

สงสารลุค

สงสารทั้งสองคนเลยง่ะ T^T

ยิ่งมาเห็นดอก Forget me not ข้างล่างนี่ด้วยแล้วยิ่งจี๊ดเลยค่ะ
แง... กิล ~
#8By เพลงดวงดาว (124.120.153.50) on 2009-03-24 22:36
มาอีกรอบ =_=;;

//โดนเตะ

เอาแทคมาให้~~~

ทำด้วยๆ

//โดนถีบออกนอกบลอค
#7By 「Q」,,s-zii★ on 2009-03-21 12:21
T^T กิลๆ
ซึ้งฮะ
#6By sakana-no6 on 2009-03-19 21:20
ซึ้ง------
พูดคำอื่นไม่ออกsad smile
#5By soul-ce on 2009-03-19 19:11
กิลลลลล TT[]TT

สงสารลุคตอนกิลพึ่งสลายไปมากๆเลยอ่ะ

ซึ๊ดดด //สูดน้ำมูก

คิดภาพตามแล้ว อยากร้องไห้แฮะ TT^TT
#4By Twin vulpinE** on 2009-03-19 18:55
ดอกฟ้าๆนั่นตามมาหลอกหลอนฉันจากการิน โอ้ว=_=
มาเม้นแล้วนะยัยโรคจิต
สงสารกิลลี่T T~ ภาษาดีแล้วนะเธอ สู้ๆ> <!
#3By Urielh (125.24.35.134) on 2009-03-19 18:08
เศร้าค่ะ....

ถึงจะเชียร์ด๊อยซ์เคะแต่พอมาอ่านอย่างนี้...

ก็พาลน้ำตาจะไหลซ่ะให้ได้เหมือนกันเเหะ
#2By FATE on 2009-03-19 16:59
เม้นทั้งสองที่นี่ล่ะ (ฮา)

T^T กิลคุงงงงงงงง

น่าสงสาร~
#1By 「Q」,,s-zii★ on 2009-03-19 15:11




No comments:

Post a Comment